ฟังรายการสถานีวิทยุศึกษา FM 92 MHz.



ครอบครัวข่าวสาร





มาร่วมคุยกันดีกว่า

๒๘/๕/๕๑

เผยวัยรุ่นไทยมีเซ็กส์ครั้งแรกอายุต่ำสุด13ปี



วันนี้ (23 พ.ค.) ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข เปิดงาน “รวมพลัง...วัยทีน รู้ทันเอดส์” เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องโรคเอดส์และอนามัยการเจริญพันธุ์ และส่งเสริมให้วัยรุ่นรักในคุณค่าของตนเอง มีความรับผิดชอบ และรู้จักหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

นายไชยา กล่าวว่า จากรายงานการเฝ้าระวังโรคเอดส์ ตั้งแต่ ก.ย. 2527-30 เม.ย. 2551 พบผู้ป่วยเอดส์สะสม 331,336 ราย เสียชีวิต 91,142 ราย ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยมีอายุระหว่าง 25-34 ปี โดยร้อยละ 84 มีสาเหตุจากเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน แสดงให้เห็นว่ามีการติดเชื้อมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งพฤติกรรมและค่านิยมเรื่องเพศของวัยรุ่นและเยาวชนไทยปัจจุบันนี้ นับวันยิ่งน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรเร็วขึ้น และไม่ให้ความสำคัญกับการใช้ถุงยางอนามัย รวมทั้งบางคนมีคู่นอนหลายคนหรือแลกเปลี่ยนคู่นอน ทำให้ยิ่งเสี่ยงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์มากขึ้น

ด้าน นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในปี 2550 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้เฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอดส์ ในกลุ่มนักเรียน ม.2 จำนวน 18,802 คน พบว่า นักเรียนชายร้อยละ 3 และนักเรียนหญิงร้อยละ 2 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว อายุเฉลี่ยการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก 13 ปี ขณะที่กลุ่มนักเรียน ม.5 สำรวจ 16,104 คน พบนักเรียนชายร้อยละ 21 และนักเรียนหญิงร้อยละ 13 เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว สำหรับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือคู่รัก ในกลุ่ม ม.2 ชายใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 50 หญิงใช้ร้อยละ 25 ส่วนกลุ่ม ม.5 ชายใช้ร้อยละ 25 หญิงใช้ร้อยละ 20


ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ในกลุ่มนักเรียน ปวช. ปีที่ 2 จำนวน 16,692 คน พบชายมีเพศสัมพันธ์แล้วร้อยละ 40 หญิงร้อยละ 28 อายุเฉลี่ยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก 15 – 16 ปี โดยนักเรียนหญิงส่วนใหญ่ร้อยละ 96 มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกกับแฟนหรือคู่รัก ที่สำคัญพบว่าการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ในกลุ่มนี้ต่ำมาก โดยชายใช้กับแฟนหรือคู่รัก ร้อยละ 23 ใช้กับหญิงขายบริการ ร้อยละ 63 ใช้กับคนรู้จักผิวเผิน ร้อยละ 54 และใช้กับเพศเดียวกัน ร้อยละ 50 ส่วนหญิงใช้กับแฟนหรือคู่รัก ร้อยละ 15 และใช้กับคนรู้จักผิวเผิน ร้อยละ 34


ขอขอบคุณข่าวจาก


สธ.เตือนทำ"สปาหู"ระวังแก้วหูทะลุ มีสิทธิ์หนวกถาวร

วันนี้ (26 พ.ค.) นพ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปัจจุบันการทำ “สปาหู” กำลังเป็นที่นิยมในวงการสปา โดยวิธีการนำเทียนมาจุดไฟที่ปลายด้านหนึ่งและปล่อยให้ควันจากแท่งเทียนเข้าไปในช่องหู จะเป็นขี้เถ้าอยู่ด้านใน โดยกล่าวอ้างว่าสามารถบรรเทาอาการไซนัส หวัด ไมเกรน ผ่อนคลายความเครียด ปรับสมดุลระดับความดันที่เกี่ยวกับการทรงตัว ยังช่วยทำความสะอาดภายในหู มีอัตราค่าบริการครั้งละ 500-1,500 บาท

“การทำสปาหู อาจถึงขั้นทำให้แก้วหูอักเสบ ทะลุจนหูหนวกถาวรได้ ดังนั้นการที่ร้านเสริมสวยหรือสปา โฆษณาว่า จุดเทียนที่มีรูกลวงแล้วสอดเข้ารูหูเกิดแรงดันดูดขี้หูออกมา และควันของเทียนช่วยปรับสมดุลทำให้หายจากโรคไซนัสปวดศีรษะ หูอื้อนั้น เป็นการหลอกลวงประชาชน เพราะไม่มีข้อมูลทางวิชาการยืนยัน ไม่มีผลต่อการไหลเวียนของระบบต่อมน้ำเหลือง ดังนั้นการจัดอบรมอ้างว่า เทียนสปาหูราคาแพงเล่มละ 135 บาท สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้นั้น ถือว่าเทียนเข้าข่ายเป็นเครื่องมือแพทย์ผู้ดำเนินการลักษณะนี้มีความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ มีโทษปรับไม่เกิน30,000 บาท จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือทั้งจำและปรับ ส่วนการทำสปาหูตามร้านเสริมสวยหรือร้านสปาที่ไม่ใช่สถานพยาบาลผู้กระทำมีความผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาล โทษปรับไม่เกิน 60,000 บาทหรือโทษจำคุกไม่เกิน3 ปีหรือทั้งจำและปรับ” นพ.ศุภชัย กล่าว


นพ.ศุภชัย กล่าวต่อว่า จะส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบสปาทั่วประเทศหากพบแห่งใดให้บริการสปาหูจะเพิกถอนใบอนุญาตสปาแห่งนั้นจะเป็นสถานบริการเถื่อน มีความผิดพ.ร.บ.สถานบริการของกระทรวงมหาดไทยทันที สำหรับการเข้าไปควบคุมการโฆษณาทางเว็บไซด์หรือบล็อกนั้น นพ.ศุภชัย กล่าวว่า ทำได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นต้องฝากถึงประชาชนอย่าหลงเชื่อการอวดอ้างทำสปาหูเพราะราคาแพงครั้งละ500-1,500 บาท แต่ไม่มีประโยชน์ต่อหูเลย

ด้าน รศ.นพ.ภาคภูมิ สุปิยพันธ์ เลขาธิการราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราชวิทยาลัยไม่ได้รับรองการทำสปาหู การอ้างว่ารักษาโรคต่าง ๆได้นั้นเป็นอวดอ้างเกินจริง เพราะการจุดเทียนแล้วสอดเข้ารูหูไม่มีแรงดันเพียงพอที่จะดูดขี้หูออกมาได้ แต่ความร้อนจากการจุดเทียนทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อในรูหูแก้วหูอักเสบและทะลุจนหูหนวกถาวรได้ ผลการศึกษาของประเทศแคนาดาในผู้ทำสปาหู 112 ราย มีรายงานว่ารูหูได้รับการบาดเจ็บจากความร้อน 13 ราย ขี้ผึ้งของเทียนอุดตันรูหู 7 ราย แก้วหูทะลุ 1 ราย ส่วนที่อ้างว่า รักษาไซนัสถือว่าเป็นการอ้างเกินจริง เพราะโพรงไซนัสกับหูชั้นนอกที่สอดเทียนเข้าไปนั้น มีแก้วหูขวางกั้นอยู่ไม่สามารถทะลุถึงกันได้ นอกจากนี้องค์การอาหารและยาของสหรัฐ แคนานา อังกฤษ ไม่รับรองมาตรฐานสปาหู โดยระบุว่าเป็นการใช้เทียนเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

รศ.นพ.ภาคภูมิ กล่าวต่อว่า ธรรมชาติของหูจะดูแลตัวเองอยู่แล้ว จะขับขี้หูออกมาเองไม่มีความจำเป็นต้องใช้อะไรมาปั่นหู อย่าใช้ไม้พันสำลีเช็ดขี้หูเพราะยิ่งจะดันขี้หูเข้าไปข้างในรูหูเรื่อย ๆ จนขี้หูอุดตัน ไม่ได้ยินอะไรเลยขี้หูไม่ใช่ขี้ ไม่ต้องทำความสะอาดหรือล้างออกแต่ขี้หูเป็นขี้ผึ้งทำหน้าที่ป้องกันเชื้อโรค เชื้อรา ไม่ต้องกำจัดออกอยากให้คิดใหม่ทำใหม่ ยิ่งพ่อแม่ใช้คัตตอนบัดแยงหู เด็ก ๆ เห็นแล้วทำตามจนถึงขั้นแก้วหูทะลุ ซึ่งพบแล้วหลายราย.


ขอขอบคุณข่าวดีดีจาก

๒๑/๕/๕๑

งานครอบครัวจิตอาสาสัญจรครั้งที่ 2


เรียนรู้ที่จะให้ สุขใจที่จะทำ...เครือข่ายครอบครัวจิตอาสา

"โอกาส" เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างต้องการจะได้รับ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนในสังคมที่ได้รับโอกาสในการดำเนินชีวิตที่เท่าเทียมกัน

โครงการครอบครัวจิตอาสา มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้ครอบครัวทั่วไปได้มีโอกาสในการแบ่งปันให้กับครอบครัวที่ยากลำบาก นอกจากนี้ครอบครัวยังได้ใช้เวลาว่างในการทำกิจกรมร่วมกัน เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในครอบครัว และเกิดเครือข่ายครอบครัวจิตอาสาขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ครอบครัวจิตอาสาสัญจรครั้งที่ 2 "บ้านเปี่ยมสุข" จังหวัดนครปฐม
จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2551

โครงการช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบจากเอดส์ ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากเอดส์ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และได้รับการคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เป็นบ้านพักในการเลี้ยงดูเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบจากเอดส์

แบ่งปันความสุขเพื่อน้อง ร่วมกิจกรรมปรับภูมิทัศน์ เลี้ยงอาหารกลางวัน
กิจกรรมสันทนาการเพื่อเพิ่มความสุขให้น้อง ร่วมกันบริจาค สมุดฉีกรายงานขนาด A4 เพื่อสนับสนุนการเรียนของน้องๆบ้านเปี่ยมสุข




สนใจร่วมเดินทางไปกับเรา ติดต่อ ฝ่ายพัฒนาสังคม มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว
โทร 02-9542346-7 โทรสาร 02-9542348

วิธีใหม่ในการหลอกให้โอนเงิน


เตือนให้ระวังกันเป็นพิเศษ ยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ ยังมีการหลอกให้โอนเงินเข้าบัญชี

เรื่องที่เกิด มีผู้เสียหายได้รับโทรศัพท์จากบุคคลอ้างเป็นพนักงานธนาคาร .... แจ้งว่ามีลูกค้าคนอื่นโอนเงินเข้ามาที่บัญชีของคุณ เป็นการโอนเงินผิดบัญชี โดยสามารถบอกเลขบัญชีทุกอย่างถูกหมด อยากให้โอนเงินกลับด้วย เพราะว่าลูกค้าคนนั้นเดือดร้อนมาก เหยื่อรายนี้ก็ตอบกลับว่าขอไปเช็คบัญชีก่อน เมื่อไปตรวจบัญชีก็พบมีเงินเข้ามาในบัญชีจริง เพียงแต่จำนวนไม่ตรงตามที่ผู้อ้างเป็นพนักงานแบงก์แจ้ง เหยื่อจึงโอนเงินคืนไปให้ ไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่ใช่เงินเรา กระทั่งได้รับใบแจ้งหนี้จากแบงก์ มียอด Call for cash ให้ผ่อนจ่ายรายเดือน จึงโทรศัพท์ไปสอบถาม จึงทราบว่ามีการโทรศัพท์อ้างว่าเป็นตัวเหยื่อ ขอเบิกเงินสดเข้าบัญชีตัวเอง ทำเอาอึ้ง พอบอกว่าไม่ใช่ตัวเองทำ เท่ากับถูกหลอก พนักงานคอลเซ็นเตอร์จึงได้แต่บอกให้โทรศัพท์แจ้งความ โชคดีที่เก็บสลิปใบโอนเงินไว้ จึงนำไปเป็นหลักฐานแจ้งความได้ ... แต่ไม่รู้ตำรวจจะช่วยได้ไหม เพราะจำนวนเงินหลายหมื่นบาททีเดียว

ทั้งนี้ ปกติถ้ามีการโอนเงินผิดโดยพนักงานเขาสามารถทำรายการ ERROR ได้เพราะมีหลักฐานคือ ใบสลิปที่ลูกค้าเขียนมาไว้อ้างอิง และเลขบัญชีแต่ละธนาคารไม่น่าจะใส่ผิดกันง่ายๆ เพราะถึงจะพลาดไป 1-2 ตัว เครื่องอาจจะแจ้งว่าเลขที่บัญชีไม่ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าพวกที่โทร.มาติดต่อแบบนี้ก็น่าสงสัยเหมือนกัน จึงต้องระวัง อย่าหลงเชื่อ ทางที่ดีที่สุดให้ตรวจสอบชัดเจนกับทางธนาคารว่าในระยะใกล้เคียงกันนั้น มีการทำธุรกรรมทางบัญชีของคุณหรือไม่ อย่างไรให้ชัดเจนกันไปเลย


ขอขอบคุณ

๑๕/๕/๕๑

โรคมากมายจากคอมพิวเตอร์

ปัจจุบันการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนยุคสมัยนี้ ถึงแม้จะให้คุณอนันต์มากมายแต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่า "คอมพิวเตอร์" ก็มีโทษเหมือนกัน... ล่าสุดที่ทำให้ตกใจกันทั่วคือ เมื่อนักวิจัยชาวอังกฤษได้ทำการศึกษาและพบว่าคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์นั้น เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียอันตรายมากกว่าโถสุขภัณฑ์ถึง 5 เท่า!! และทำให้ผู้ใช้ท้องเสียโดยไม่รู้ตัว ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอีกหลายโรคที่เกิดเพราะคอมพิวเตอร์ คือ...

ท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด

โรคที่ตั้งชื่อตามตัวอักษรชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ดว่า Qwerty Tummy อาจระบาดในที่ทำงานได้ หากว่าแป้นคีย์บอร์ดมีแบคทีเรียซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอาหารเป็นพิษและผู้ใช้รับประทานอาหารไปพร้อมกับใช้งานคีย์บอร์ดเครื่องคอมพ์ด้วยการศึกษาครั้งนี้ แสดงว่าคีย์บอร์ดเป็นแหล่งเพาะแบคทีเรียที่น่ากลัว ด้วยคนทำงาน 1 ใน 10 ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ด และ 20% ไม่เคยทำความสะอาดเมาส์ ขณะที่ 50% ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ดภายในเวลาหนึ่งเดือน นอกจากนี้ด้วยรูปแบบการทำงานสมัยใหม่ ที่พนักงานต้องย้ายโต๊ะทำงานไปเรื่อยๆทำให้พวกเขาไม่มีทางรู้ว่า ใครใช้คีย์บอร์ดที่กำลังใช้อยู่และใช้งานอย่างไรบ้าง

ทางแก้ไขคือ ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ควรทำความสะอาดคีย์บอร์ดเป็นประจำเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย วิธีการคือทำความสะอาดด้วยผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำหมาดๆ ที่สำคัญคืออย่าลืมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ก่อน

โรคอื่นๆ อีกมากมาย คอมพิวเตอร์จะไม่เป็นอันตรายหากว่าคุณไม่ใช้มันจนติดเป็นนิสัย ซึ่งหมายความว่านั่งจมจ่อมอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เกือบจะตลอดวันและทุกวันคนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ้างเป็นบางครั้งคราวย่อมไม่ได้เจ็บป่วยเพราะคอมพิวเตอร์แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แต่ละคนก็จะได้รับผลกระทบจากเครื่องใช้ไฮเทคนี้มากหรือน้อยช้าหรือเร็ว ไม่เหมือนกัน หลายๆ อาการเจ็บป่วยจากคอมพิวเตอร์นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เรารู้กันดี แต่บางครั้งก็หลงลืม ว่าแล้ว...ลองมาทบทวนกันดูหน่อยดีไหม

ปวดตา :เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ทำให้ตาต้องจ้องจอสว่างๆจึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพสายตา จึงควรระวังแสงที่จะส่องตรงมาโดยเฉพาะแสงจากด้านหลังของจอคอมพิวเตอร์ ควรให้แสงเข้ามาด้านข้าง (ด้านขวาก็จะดี)ถ้าเป็นไปได้ให้ติดแผ่นป้องกันรังสี รวมทั้งปรับความสว่างของจอให้เหมาะสมกับดวงตาการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ไม่เพียงทำให้เกิดอาการปวดตาเท่านั้นแต่อาจเป็นสาเหตุของโรคต้อหินในอนาคตด้วย โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่สายตาสั้น นอกจากนี้จอคอมพิวเตอร์ที่สั่นไหว หรือเป็นคลื่นนั้นควรจะยกไปซ่อมซะควรละสายตาจากจอบ้างเป็นครั้งเป็นคราว กะพริบตาเป็นระยะเพราะดวงตาของคุณต้องการความชุ่มชื้น

โรคเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ :ปรับระดับความสูงของเก้าอี้หรือโต๊ะที่วางคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ข้อศอกอยู่ในมุม 90 - 100 องศา วางคีย์บอร์ดให้เหมาะเวลาใช้คีย์บอร์ดจะได้ไม่ต้องงอมือให้อยู่ในท่าที่ไม่สะดวกสบายควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ด ถ้าหากจำเป็นควรพิมพ์คีย์บอร์ดและใช้เมาส์อย่างเบามือ ถ้ามีเวลาก็ออกกำลังกายข้อมือและนิ้วบ้างหากสามารถทำงานด้วยวิธีการอื่นโดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและทำซะ

ปวดคอและหลัง :สำรวจท่านั่งเวลาทำงานของตัวเองควรนั่งตัวตรง ห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 18 - 24 นิ้ว เก้าอี้ที่ดีควรจะมีล้อสามารถปรับพนักพิงได้ และต้องมีที่วางแขนโต๊ะควรจะมีพื้นที่ว่างสำหรับวางเครื่องมืออื่นๆ ในการทำงาน

และสุดท้ายที่อยากตระหนักกันให้มากคือ อันตรายคลื่นลูกใหม่ที่มาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และหลอดภาพของจอคอมพิวเตอร์เมื่อเราเปิดเครื่องใช้ก็จะมีรังสีแผ่ออกมา จึงไม่ควรนั่งใกล้จอเกินไปโดยเฉพาะเวลาใช้แล็ปท็อปซึ่งทำให้เราต้องนั่งใกล้เครื่องมากกว่าพีซีถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แผ่นป้องกันรังสีหรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ไม่แผ่พลังรังสีไฟฟ้าออกมา แม้ราคาจะแพงกว่าแต่ปลอดภัยกว่า หากไม่ใช้เครื่องก็ควรปิด โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องนอน อืม...รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลงมือทำกันซะเลยนะคะ ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะไม่ฆ่าเราในทันทีทันใด แต่คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าถ้าเราไม่เสี่ยงกับการเกิดโรคภัยเหล่านี้

ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก

๑๒/๕/๕๑

6ขวบ-อาบ"ไฮเตอร์" อยากขาว แฉภัยโฆษณาทีวี



ตอกย้ำคนขาว-ถึงสวย สภาเด็กฯชี้-ละครด้วย! ตัวการให้เกิดเลียนแบบ

แนวร่วมเยาวชนฯแฉจัดเรตติ้งทีวีแล้วขึ้นคำเตือนไม่ได้ผล หลังสำรวจพบเด็กสาวใหญ่ดูทีวีเพียงลำพัง ถึงเห็นเครื่องหมายเตือนก็ไม่สนใจ เผยละครทีวีตัวดีเพราะทำให้เด็กเลียนแบบพฤติกรรมมากที่สุด โดยเฉพาะฉากตบตี และร้องกรี๊ดๆ เวลาที่ไม่ได้ดังใจ จี้ให้เลื่อนเวลารายการที่ไม่เหมาะกับเด็กให้ไปออกหลัง 4 ทุ่ม ส่วนโฆษณาก็ส่งผลต่อความรู้สึกของเด็กเช่นกัน ทั้งเหล้าและขนมขบเคี้ยว สุดช็อกด.ญ. 6 ขวบอาบไฮเตอร์ น้ำยาซักผ้าขาว เพราะเชื่อโฆษณาว่าผิวขาวแล้วจะสวย

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่สภาคริสตจักรแห่งประ เทศไทย แนวร่วมเยาวชนสร้างสรรค์สื่อไทย ประกอบด้วย สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย สภาเยาวชนกรุงเทพมหานคร เครือข่ายประธานนักเรียน เครือข่ายเอดส์และเพศศึกษา (V-Teen) เครือข่ายเยาวชนสร้างสรรค์สังคม (Saf) เครือข่ายนิเทศศาสตร์ จัดแถลงเรื่อง "ดูดู๊ดูสื่อไทย ทำไมถึงทำกับเด็กได้"

นายสาโรช จำปาศักดิ์ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เครือข่ายฯ รวมตัวกันสำรวจ การดูโทรทัศน์ของเด็กและเยาวชนอายุ 10-25 ปี เมื่อวันที่ 2-5 พ.ค.ที่ผ่านมา จำนวน 565 คน พบกลุ่มตัวอย่างเกือบ 60% จะดูทีวีคนเดียว ดังนั้น เมื่อพบรายการที่ไม่เหมาะกับช่วงวัย เช่น ไม่เหมาะกับผู้ชมอายุต่ำกว่า 13 (น13) หรือ 18 (น18) รายการเฉพาะไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชน (ฉ) ที่มีจะมีการขึ้นตำเตือน แต่เด็กอายุ 10-15 ปี จำนวน 58% จะดูตามปกติ เด็กอายุ 16-20 ปี จำนวน 81.6% ดูตามปกติเช่นกัน ส่วนกลุ่มที่ดูทีวีกับผู้ปกครอง แล้วเจอรายการไม่เหมาะกับวัยแต่ดูโดยไม่เปลี่ยนช่องนั้น มีผู้ปกครองเพียง 54.8% ที่พูดคุยให้คำแนะนำระหว่างดู


เมื่อถามถึงการแสดงละครฉากต่างๆ ที่เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่เหมาะสมถึงขั้นไม่เหมาะสมเลย คือ ฉากข่มขืน 68.4% ฉากร้องกรี๊ดๆ เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ 60.8% ฉากตบตีกัน 56.9% ฉากยิงกัน แทงกัน 54.7% เด็กและเยาวชน 62.9% เห็นว่าค่อนข้างจำเป็นถึงจำเป็นที่สุด ที่ต้องจัดเรตติ้งรายการทีวีตามเวลา ให้ละครหรือรายการที่มีความรุนแรง ออกอากาศช่วงที่เด็กส่วนใหญ่เข้านอนแล้ว ซึ่ง 52.4% อยากให้เด็กมีส่วนร่วมจัดเรตติ้งด้วย ส่วนความรู้สึกที่มีต่อละครปัจจุบัน 64.8% เห็นว่าค่อนข้างรุนแรง ถึงรุนแรงเกินไป

นายสาโรชกล่าวอีกว่า ฉากที่คิดว่ารุนแรง 8 อันดับแรก คือ 1.ฉากตบตีกันนานๆ 2.ข่มขืน 3.ด่าทอ 4.ขว้างปาทำลายสิ่งของ 5.ล้อเลียนดูถูก คนแก่ ผู้หญิง เพศทางเลือก 6.แต่งกายโป๊ วับๆ แวมๆ 7.ดื่มเหล้า 8.กระโดดถีบ โดย 70.4% บอกว่า เคยเห็นเด็กๆ เลียนแบบการแสดงต่างๆ ในทีวี เช่น ร้องกรี๊ดๆ เวลาไม่พอใจ ด่ากัน ตบตีกัน เล่นเป็นพ่อ ผัวเมีย และกลุ่มตัวอย่าง 33.8% ยอมรับว่าตัวเองก็เคยอยากเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านี้"

เด็ก 10-15 ปี เกือบ 50% ยอมรับว่า โฆษณาขนมกรุบกรอบที่มีของแจกของแถม ทำให้อยากซื้อขนมมากถึงมากที่สุด และเจอโฆษณาเหล่านี้มากถึงมากที่สุดในรายการเด็กเกือบ 50% เช่นกัน ซึ่งทุกกลุ่มอายุ 46.4% พบโฆษณา 1900 ในลักษณะต่างๆ มากถึงมากที่สุดในทีวี ขณะที่ 42.2% ยืนยันว่าโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอ ฮอล์ มีผลจูงใจให้อยากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เด็กและเยาวชน 53.7% ห่วงใยเด็กด้วยกันเอง ซึ่ง 60.8% ต้องการให้คุมการโฆษณาขนมกรุบกรอบที่มีของแจกของแถม การชิงโชค 77.4% อยากให้เจ้าของสถานีโทร ทัศน์มีความตระหนัก ช่วยกันแก้ปัญหา และ 76.6% คิดว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหา" นายสาโรช กล่าว

น.ส.อาวีวรรณ สร้อยคำ อายุ 17 ปี ชั้น ม.6 ร.ร.เทพศิรินทร์ร่มเกล้า เครือข่ายเยาวชนสร้าง สรรค์สังคม กล่าวว่า การแสดง การโฆษณาหรือพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทีวี มีอิทธิพลอย่างมากต่อเด็กและเยาวชน ไม่ใช่แค่การมีพฤติกรรมรุนแรงเท่านั้น การฉายภาพซ้ำๆ เดิมๆ ก็ยิ่งตอกย้ำความคิด ความเชื่อ แบบในทีวีให้กับเด็ก น้องของตนอายุ 6 ขวบ ดูทีวี ดูโฆษณา ที่นำเสนอย้ำๆ ว่าคนผิวขาวถึงจะดูดี ดูสวย จึงใช้ไฮเตอร์อาบน้ำ ขณะที่เพื่อนบางคนเมื่อทานอาหารแล้วต้องล้วงคอให้อาเจียนออกมา หรือไม่ก็ทานยาระบายเพราะกลัวอ้วน ซึ่งทีวีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดขึ้น เนื่องจากสามารถหล่อหลอมคนในสังคมส่วนใหญ่ให้คล้อยตามได้

นายวรภัทร วีรพัฒนคุปต์ อายุ 22 ปี เครือข่ายเอดส์และเพศศึกษา กล่าวว่า รายงานของหน่วยงานอาชญากรรมและยาเสพติด องค์การสหประชาชาติ พ.ศ.2550 ระบุว่าไทยติดอยู่ในกลุ่ม 68 ประเทศที่มีสถิติการข่มขืนเพิ่มขึ้น จากการสำรวจใน 189 ประเทศทั่วโลก สอดคล้องกับสถิติการกระทำความผิดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งแต่เดือนต.ค. 2548-ก.ย. 2549 พบคดีที่เกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย และเพศ อาทิ ทำร้ายร่าง กาย ข่มขืนฆ่ากันตาย สูงถึง 33,669 คดี ขณะที่ข้อมูลศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง มีผู้เข้ารับคำปรึกษาปัญหาข่มขืนกระทำชำเรา จากปี 2548 มี 51 ราย เพิ่มเป็น 140 ราย ในปี 2550 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว การทำร้ายร่างกายที่มี 44 ราย เพิ่มเป็น 191 รายในปี 2550 หรือสูงขึ้นเกิน 4 เท่าตัว

"คดีความรุนแรงทางเพศที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมแบบชายเป็นใหญ่ คิดว่าทำอะไรกับผู้หญิงก็ได้ ในกรณีข่มขืนมีหลายครั้งที่ผู้ถูกกระทำเลือกที่จะจบปัญหาด้วยการปิดเงียบ ไม่สู้คดี เพราะอายแล้วก็โทษตัวเอง หากผู้เสียหายตั้งครรภ์บางคนเลือกแก้ปัญหาด้วยการอยู่กินฉันสามีภรรยากับคู่กรณี สิ่งเหล่านี้มีส่วนให้การกดขี่ทางเพศในสังคมไทยเพิ่มสูงขึ้น น่าเสียดายที่สื่อ ซึ่งเป็นขุมพลังทางปัญญา สามารถชี้นำสังคมไปสู่การสร้างบรรทัดฐานที่ดีขึ้น กลับทำให้ค่านิยมเรื่อง ข่มขืน ทำร้ายร่างกาย เป็นเรื่องปกติจนถึงขั้นกลายเป็นเรื่องถูกต้องดีงามน่าชื่นชม" นายวรภัทร กล่าว

นายอรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ อายุ 21 ปี ประธานสภาเยาวชนกรุงเทพฯ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะ เมื่อพ.ร.บ.การประกอบกิจการวิทยุและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้ ทำให้กรมประชาสัมพันธ์คิดว่าหมดอำนาจกำกับดูแลทีวี ประกาศการจัดระดับความเหมาะสมของเนื้อหาสื่อโทรทัศน์ (เรตติ้ง) ที่รายการ น13 ออกอากาศได้หลัง 20.00 น. รายการ น18 ออกอากาศได้หลัง 20.30 น. รายการเฉพาะ "ฉ" ออกอากาศหลัง 22.00 น. รวมถึงประกาศคุมโฆษณาขนมขบเคี้ยวในรายการสำหรับเด็ก จึงถูกฝ่าฝืน เกิดวิกฤตกับผู้บริโภคสื่อโทรทัศน์ โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน และครอบครัว"

รายการและโฆษณาที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน สามารถออกอากาศในเวลาที่เด็กและเยาวชนส่วนมากกำลังดูทีวี ซึ่งจะนำไปสู่พฤติกรรมเลียนแบบและค่านิยมไม่พึงประสงค์ เรื่องอบายมุขและความรุนแรง ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ การพัฒนาเด็กต้องคำนึงถึงการจัดสภาพแวดล้อม การรับรู้บริโภคข้อมูล ที่เหมาะสมแก่วิจารณญาณตามวัยวุฒิ เพื่อสร้างพื้นฐานทางความคิด สติปัญญา และอารมณ์ที่มีคุณภาพสมวัยบนพื้นฐานของสังคมคุณธรรมจริยธรรม และโลกที่เหมาะสมสำหรับเด็ก (World Fit for Children)" นายอรุณฉัตร กล่าว

นายอรุณฉัตรกล่าวอีกว่า เด็กและเยาวชนจึงต้องมารวมตัวกันในนาม "แนวร่วมเยาวชนสร้างสรรค์สื่อไทย" เพื่อขอความจริงใจจากรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องด้านโทรทัศน์ ให้แก้ปัญหาความรุนแรงบนหน้าจอ โดยมีข้อเรียกร้องคือ

  1. รัฐบาลควรเร่งหามาตรการเฉพาะหน้าในช่วงสุญญากาศเร็วที่สุด

  2. ต้องมีมาตรการป้องกันแก้ปัญหาระยะยาว ทบทวนแนวทางจัดระดับความเหมาะสมของสื่อต่างๆ ให้สอดคล้องกับบริบทสังคมไทย ยึดการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน และครอบครัว ให้มีส่วนร่วมวางนโยบาย

  3. ในอนาคตให้สนับสนุนการจัดตั้งองค์กรที่เป็นอิสระเพื่อเป็นพื้นที่ของเด็ก เยาวชน ครอบครัว องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรภาคประชาสังคมในการพิจารณารายการโทรทัศน์

  4. ขอให้ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ผู้ผลิตรายการ และผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการเดิม และร่วมมือกับทุกมาตร การที่เป็นไปเพื่อคุ้มครองเด็ก เยาวชนและครอบ ครัว อย่าเห็นแก่ผลประกอบการจนลืมความรับผิดชอบต่อสังคม

ขอขอบคุณข่าวจาก :

๗/๕/๕๑

ขออนุญาตนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเล่าสู่กันฟัง


เมื่อวันศุกร์ผมได้มีโอกาศได้เข้าค่ายที่ศูนย์ฝึกทหารของค่ายนเรศวร วันแรกที่เข้าไปก่ะบรรยากาศครึ้มๆ

ผมก็ว่าเอ... แปลกๆนะ ทำไมอากาศอบอ้าวเหมือนจะมีฝนแต่ก็คิดว่าคงเป็นไปตามสภาพอากาศ พอไปถึงก็ทำกิจกรรมจนได้เข้าหอประชุมตอนดึกใกล้เวลานอนมากแล้ว อาจารย์เอกราช ท่าได้มาพูดถึงเรื่องของฝนที่ตกนี้ว่า "ก่อนหน้านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านทรงให้คณะทำงานเกี่ยวกับฝนเทียม รีบทำฝนเทียมเพื่อเป็นแนว กันลมพายุดีเปรสชั่นซึ่งตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่พระองค์ทรงเหมือนกับเทวดาองค์นึงที่ทราบเรื่องนี้ก่อน ถามว่าตอนนั้นกรมอุตุรู้เรื่องนี้มั้ย ... ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดพายุที่ประเทศเมียนม่า(พม่า)ด้วยซ้ำ พอคณะทำงานด้านฝนเทียมทำงานเสร็จ ด้วยความสำเร็จ...

ผลงานที่พระองค์ได้ทำ ก็ก่อให้เกิดผล เกิดพายุอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ที่พม่า และพายุนี้ก็ได้สร้างความเสียหาย และสร้างความเดือดร้อนให้กับประเทศเมียนมาร์(พม่า) จนทำให้เกิดความสูญเสียอันมหาศาลกับประเทศอันเคยเป็นอริกับเรา ... แต่สำหรับประเทศไทย แนวกำแพงฝนเทียมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงสร้างไว้ก็ทำให้เกิดฝนตกเพียงเล็กน้อย ถ้าเทียบกับพายุที่จริงๆแล้วสามารถสร้างความเดือดร้อนกับประเทศได้มาก "


พอผมได้ทราบผมถึงกับอึ้งขนลูกซุ่ กับ สิ่งที่พระองค์ได้ทำไว้ให้กับประเทศของเรา ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดีที่ทราบเรื่องนี้ แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้ผมสะเทือนใจกับสิ่งที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้ วันที่ 2 ที่เข้าค่าย ครูฝึกได้เปิดวีซีดีเกี่ยวกับพระองค์ให้ดู ผมก็ดูไปเรื่อยๆจนถึงตอนนึงที่เค้าตัดเอาตอนที่พระองทรงเสด็จพระราชดำเนินเพื่อไปส่งเหล่ากษัตริย์จากต่างประเทศ คณะทูตที่มาเข้าเฝ้าในงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 พรรษา ภาพที่ทำให้ผมปวดจี๊ดขึ้นมาในหัวใจก็คือตอนที่พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินลงบันได(ขอโทษครับพอดีไม่ทราบว่าเขียนยังไง) พระองค์เกือบหกล้ม ดีที่ทหารรักษาพระองค์ที่เดินนำหน้าคอยประคองพระองค์ไว้ พอพระองค์ทรงยืนได้ ก็ปัดมืออก ผมไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสตรงนั้นทันทีมั้ย หรือตรัสกับคนสนิทในภายหลัง ว่า" ไม่ต้องมาพยุงเรา เราจะเดินให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า เราเดินได้ ให้คนทั่วโลกได้เห็นว่าเราสามารถปกครองคน 64 ล้านคนด้วยตัวของเราเองได้ " ถึงตอนนี้แล้ว ...น้ำตาผมคลอเบ้า คนที่ดูกันก็สะอึ้นกันไปหลายคน ทุกๆคนในที่นั้นเงียบหมดกับคำพูดที่พระองค์ได้ตรัสไว้

ผมได้ยินเสียงกระซิบจากเพื่อนข้างๆว่า สงสารพระองค์ที่ต้องมาทรงงานอย่างหนัก ถึงแม้จะอายุเยอะแล้ว แต่พระองค์ก็ยังทรงรักและเป็นห่วงลูกๆหลานของพระองค์ ลูกๆหลานๆที่อยู่ในประเทศนี้ ท่านทรงงานทุกอย่างเพื่อให้คนในประเทศได้สบาย เพื่อคนในประเทศได้อยู่ดีกินดี อาจารย์ได้บอกกับพวกเราเมื่อวีซีดีจบว่า พระองค์เหมือนฝนที่ทำให้ประเทศร่มเย็น เหมือนเทวดาที่ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ไหนที่นั่นจะชุ่มฉ่ำ ที่ๆพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปจะพบแต่ความสงบสุข มีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร ท้ายสุดนี้ผมอยากจะบอกพระองค์หากแม้นมีใครผ่านมาอ่าน ถึงจะเป็นคำพูดที่อาจจะได้ยินมาบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่สามารถจะคัดกรองคำพูดใดๆมาพูดได้อีกนอกจาก "ขอพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงประชา เป็นร่มโพธิทองของเหล่าปวงชนชาวไทย

ที่มา : Webboard

ขอขอบคุณ คุณ ballsuksak

๕/๕/๕๑

ข่าวน่าสนใจใกล้ตัว

ข้าวแพงวุ่น-คนใส่บาตรมาม่า


เมื่อวันที่ 4 พ.ค. นายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทย ที่ข้าวอาหารหลักของคนไทยเริ่มมีราคาแพงขึ้น จากการกักตุนข้าวสารของพ่อค้าเพื่อนำไปส่งออกขายในต่างประเทศ ปัญหาเรื่องข้าวจึงกลายเป็นปัญหาทางสังคมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ด้วยเป็นปัจจัยสินค้าบริโภคที่มีความสำคัญอันขาดมิได้ ณ ปัจจุบัน ข้าวสารมีราคาแพงขึ้น แม้จะดูเป็นตัวเลขที่ไม่สูงนัก แต่ส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของคนในสังคมอย่างใหญ่หลวง แม้แต่พระภิกษุ-สามเณรตามวัดต่างๆ ในต่างจังหวัดเริ่มได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ข้าวราคาแพง ทั้งนี้ ตนได้สอบถามไปยังพระสังฆาธิการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่าปัญหาเรื่องข้าวมีราคาแพงส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติศาสนกิจของพระสงฆ์ในเขตปกครองบ้างหรือไม่ ผลปรากฏว่าเท่าที่ลองสอบถามพระคุณเจ้าหลายท่านได้ให้คำตอบกลับมาว่า มีผลกระทบบ้างพอสมควร โดยเฉพาะที่จ.เชียงใหม่ จากการเดินรับบิณฑบาตจากพุทธศาสนิกชนในตอนเช้า ตามปกติในเวลาตักบาตร ญาติโยมจะใส่ข้าวถุงและตามด้วยกับข้าวถุง ของหวาน หรือน้ำขวด แต่ในระยะหลัง พบว่า พฤติกรรมของญาติโยมที่มาใส่บาตรเริ่มเปลี่ยนไป โดยส่วนใหญ่ญาติโยมจะไม่ค่อยใส่ข้าวถุงแล้ว ทั้งข้าวสุกหรือข้าวสารแห้งก็ตาม แต่จะเน้นใส่แต่กับข้าวและอาหารแห้ง จำพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้คงจะเป็นการยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ส่งผลกระทบไปเป็นระบบลูกโซ่ ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งวงการสงฆ์อย่างไรก็ตาม เท่าที่รับทราบจากการหารือกับพระสังฆาธิการในภาคกลาง โดยเฉพาะในเมืองหลวงนั้น พบว่า จากปัญหาเรื่องข้าวนั้นยังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ส่วนข้อมูลดังกล่าวที่ได้รับทราบมาจากพระสังฆาธิการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คงจะต้องนำมาหารือเพื่อเสนอให้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำเข้าสู่วาระการประชุมมหาเถรสมาคม เพื่อพิจารณารับทราบต่อไป

ทั้งนี้ กรณีปัญหาเรื่องข้าว คงต้องรอตรวจสอบดูในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาอีกครั้ง เนื่องจากในช่วงนั้น จะเป็นเวลาที่มีการทำบุญตักบาตรเป็นจำนวนมาก จะสามารถมองเห็นปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ได้ประสานไปยังผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ทั่วประเทศแล้ว ให้สำรวจด้วยว่าในการจัดประชุมพระสงฆ์ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม อาหารที่นำมาถวายพระส่วนใหญ่เป็นอาหารประเภทใดด้านพระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม กล่าวถึงปัญหาข้าวสารแพง ว่า เท่าที่สอบถามดูวัดในเขต กทม. ยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการใส่บาตรด้วยอาหารแห้ง แต่ยอมรับว่าวัดที่อยู่ตามต่างจังหวัดเริ่มได้รับผลกระทบจากปัญหาข้าวสารและอาหารต่างๆ ที่สูงขึ้นแล้ว ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของพระสงฆ์ที่มีอายุมากๆ เพราะอาหารจำพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอาหารแห้งจะมีคุณค่าทางอาหารน้อย ทั้งนี้เมื่อเริ่มเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นต่อไป ทางคณะสงฆ์คงจะต้องมีการหารือกันว่าจะเกิดผลกระทบต่อพระสงฆ์หรือไม่ มากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันพระสงฆ์ก็จำเป็นที่จะต้องปรับตัวตามสภาพเศรษฐกิจด้วย

ถกสถานีวิทยุเผยแผ่พุทธศาสนา เสนออนุมัติคลื่นให้กับสงฆ์

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานเปิดการประชุมสถานีวิทยุเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ วัดสัมพันธวงศ์ โดยมีพระธรรมกิตติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ โฆษกมหาเถรสมาคม บรรยายพิเศษ เรื่อง การเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามมติมหาเถรสมาคม ว่า การที่มีสถานีวิทยุพระพุทธศาสนานั้น จะสามารถช่วยมหาเถรสมาคม (มส.) ดำเนินงานเรื่องการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งจะสามารถทำให้คนเข้าใจได้ด้วยว่าพระสงฆ์ทำอะไรให้สังคมบ้าง เพราะขณะนี้ มหาเถรสมาคม มีความเป็นห่วงมากว่า จะทำอย่างไรให้คนเข้าใจบทบาทของพระสงฆ์ อย่างไรก็ตาม สถานีวิทยุพระพุทธศาสนานี้มีอยู่แล้วเกือบทุกจังหวัด ดังนั้น จึงอยากให้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) เข้าไปช่วยอุปถัมภ์ด้วยนายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม บรรยายพิเศษ การส่งเสริมกิจกรรมพระพุทธศาสนาจากภาครัฐ ว่า อยากให้สถานีวิทยุนำเสนอเรื่องราวที่เป็นจุดเด่นของพระพุทธศาสนาให้ประชาชนได้รับรู้ เช่น ผลงานของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ที่มีนักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ซึ่งจะทำให้คนเห็นว่าการเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา นอกจากไม่เสียค่าใช้จ่ายแล้ว ยังสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วย และที่สำคัญเมื่อคนเห็นความสำคัญของการส่งบุตรหลานเข้าไปเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมแล้ว ก็จะส่งผลให้สามารถแก้ปัญหาจำนวนพระภิกษุสามเณรที่ลดลงอยู่ในขณะนี้ได้ ขณะเดียวกันต้องพยายามทำให้ชุมชนเห็นความสำคัญของสถานีวิทยุพระพุทธศาสนาด้วย

ด้านพระอธิการไมตรี ฐิตปญฺโญ วัดทางสาย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในฐานะประธานชมรมสถานีวิทยุเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา กล่าวว่า ชมรมสถานีวิทยุเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดจากการรวมตัวของพระสงฆ์ ที่จัดรายการผ่านสถานีวิทยุของตัวเองโดยจะผ่านทางคลื่นวิทยุชุมชน ซึ่งจะมีพระผู้ใหญ่ในแต่ละจังหวัดดูแลอยู่ ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกรวม 135 สถานีทั่วประเทศ แต่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐเท่าที่ควร จึงอยากให้ทางรัฐบาลพิจารณาอนุมัติคลื่นวิทยุให้กับพระสงฆ์ เพราะขณะนี้พระยังไม่รู้ว่าจะต้องไปติดต่อหน่วยงานใด และต้องทำอย่างไรบ้าง เพราะหากมีการจัดสรรคลื่นความถี่เมื่อใด จะทำให้คลื่นวิทยุชุมชนที่พระใช้อยู่เป็นสถานีวิทยุที่ผิดกฎหมาย

ขอขอบคุณข่าวดีดีจาก

สวช.ปิ๊งไอเดียเปิดร้านเกมในวัด-คุมเข้มเด็กต่ำกว่า15ปี

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ(สวช.) จัดประชุม "แนวทางปฏิบัติและการตรวจสอบสถานประกอบการร้านเกม ตามพ.ร.บ.ภาพยนตร์วีดิทัศน์ พ.ศ. 2551" โดยมีนายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เป็นประธาน พร้อมด้วย ผู้ประกอบการ วัฒนธรรมจังหวัด เข้าร่วมประมาณ 1,000 คน โดยนายอนุสรณ์ กล่าวว่า ปัญหาการเปิด-ปิดร้านเกม ร้านอินเตอร์เน็ต เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายกังวล ซึ่งตนจะหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด ว่า แต่ละพื้นที่ จะมีความเหมาะสมอย่างไรอีกครั้ง โดยจะมีการกำหนดกรอบให้ชัดเจน เช่น เปิดได้ 24 ช.ม. แต่ห้ามเด็กต่ำกว่า 18 ปีเข้าเล่นก่อน 14.00 น และหลัง 22.00 น. เป็นต้น ซึ่งจะต้องมีความเสมอภาค รวมทั้งต้องให้สอดคล้องกับสภาวะของจังหวัดนั้นๆด้วย

ส่วนการตรวจร้านเกมนั้น วธ.จะยังคงใช้มาตรการประนีประนอม ตรวจแบบกัลยาณมิตร แต่ถ้าพบว่า ร้านเกมร้านใดกระทำผิดกฎหมายขั้นรุนแรง อาจจะต้องมีโทษถึงขั้นถอดถอนใบอนุญาตนายปรีชา กันธิยะ เลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ(กวช.) กล่าวว่า พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ มีจะมีผลบังคับใช้ 2 มิถุนายนนี้ โดยมีสาระสำคัญ คือ จะเปลี่ยนจากระบบเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ เป็น เรตติ้ง แยกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ 1.ภาพยนตร์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้และควรส่งเสริมให้มีการดู 2.ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับผู้ดูทั่วไป 3.ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับอายุ 13 ปีขึ้นไป 4.ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับอายุ 15 ปีขึ้นไป 5.ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับอายุ 18 ปีขึ้นไป 6.ภาพยนตร์ที่ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีห้ามดู และ 7.ภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ซึ่งต่อไปการขออนุญาตเปิดโรงภาพยนตร์หรือฉายภาพยนตร์ต้องมาขอใบอนุญาต จาก วธ. เท่านั้น


เลขาธิการกวช. กล่าวต่อไปว่า ส่วนของร้านเกม ร้านอินเตอร์เน็ต จะมีการออกเป็นกฎกระทรวง โดยเฉพาะเงื่อนไขของเวลาการเปิด-ปิด ร้านเกม ร้านอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมาก สวช.จะขอความร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัด หารือกับผู้ประกอบการว่า ควรเปิด-ปิดเวลาไหน เพราะแต่ละจังหวัดมีสภาพสังคมที่ต่างกัน เช่น บางจังหวัดมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากควรเปิด 24 ช.ม. เป็นต้น เพื่อสรุปส่งมายังสวช. สำหรับอายุของผู้ใช้บริการ ตนเห็นว่า เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่จะเข้าใช้บริการร้านเกม อินเตอร์เน็ต ควรต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษรว่าให้เล่นกี่ชั่วโมง ซึ่ง สวช.จะทำแบบฟอร์มการอนุญาตมอบให้แก่ร้านเกมทั่วประเทศ ส่วนเด็กและเยาวชนที่อายุ 15 ปีขึ้นไป จะต้องแสดงบัตรประชาชนก่อนเข้าเล่นทุกครั้ง และทางร้านเกมจะต้องถ่ายสำเนาบัตรประชาชนของผู้เล่นทุกคนเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย "ผมจะนำแนวทางดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ก่อนที่จะเสนอต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อออกเป็นกฎกระทรวง รวมทั้งจะเสนอการจัดโซน ของผู้ใช้บริการด้วย เช่น โซนผู้ใหญ่สามารถดูเว็บโป๊ได้แต่ห้ามเด็กเข้าใช้บริการ โซนเด็กก็จะมีเกมที่สร้างสรรค์ เป็นต้น

ส่วนสถานที่ตั้งร้านเกม ควรเปิดกว้าง โดยสามารถเข้าไปตั้งในสถานศึกษาหรือวัดได้ เพราะมองว่า ร้านเกมเป็นเหมือนแหล่งเรียนรู้ ไม่ควรที่จะมีการปิดกั้น ซึ่งถ้าอยู่ในวัด จะทำให้เด็กได้เข้าวัดหลังจากเล่นเกม และถ้าอยู่ในโรงเรียนจะป้องกันเด็กหนีเรียนออกไปเล่นเกมไกลหูไกลตาผู้ใหญ่อีกด้วย" นายเอกพล สามัตถิยดีกุล เลขาธิการสมาคมการค้านักธุรกิจผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตไทย กล่าวว่า ตนได้ยื่นข้อเสนอต่อรมว.วัฒนธรรม เพื่อขอมีส่วนร่วมในการออกกฎกระทรวง รวมทั้งได้เสนอขอให้เปิดร้านเกม 24 ช.ม. โดยห้ามเด็กหนีเรียนเข้าร้านก่อน 14.00 น. แต่หลัง 22.00 น.เด็กจะต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองว่าให้เล่นกี่ชั่วโมง และจะปรับปรุงร้านเกมให้ถูกกฎหมาย ไม่เป็นแหล่งมั่วสุมของเด็กเยาวชน อีกทั้งจะช่วยกันดูแลร้านเกมที่กระทำผิดกฎหมาย เพื่อร่วมกันสร้างภาพลักษณ์ให้ร้านเกมเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีของเด็กและเยาวชนต่อไป

ขอขอบคุณข่าวจาก :

๒/๕/๕๑

สธ.เตือนฝนกระหน่ำไข้เลือดออกระบาด


นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข ประจำเดือนเมษายน 2551 ว่า การระบาดของโรคไข้เลือดออกในปี 2550 มีผู้ป่วยทั้งหมด 64,040 ราย เสียชีวิต 75 ราย แต่ จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น ทำให้ปีนี้สถานการณ์การระบาดของโรคนี้ รวมทั้งโรคไข้มาลาเรียที่เกิดจากยุงก้นปล่อง มีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น โดยตั้งแต่ 1 ม.ค. - 19 เม.ย. 2551 ได้รับรายงานผู้ป่วยไข้เลือดออก แล้ว 10,901 ราย เสียชีวิต 12 ราย ที่สำคัญผู้ป่วยจากโรคไข้เลือดออกปีนี้เปลี่ยนจากปีที่ผ่านๆ มา โดยพบในกลุ่มอายุ 15 ปีมากขึ้น และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 มากที่สุดในภาคกลาง รองลงมาคือ ภาคใต้

จากการสำรวจบ้านเรือนประชาชน พบมีถึง 2 ใน 3 ที่ไม่ได้ทำลายแหล่งลูกน้ำยุงลายในบ้าน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการระบาดใหญ่ของโรคนี้ นายไชยา กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้มีฝนตกหนักติดต่อกันในหลายพื้นที่ ทำให้อาจมีแหล่งน้ำขัง เสี่ยงต่อการวางไข่ของยุงลายและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก ได้เน้นย้ำให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงทุกเขต กำชับทุกจังหวัดให้วางมาตรการเข้มในการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและลูกน้ำยุงลาย เป็นประจำทุก 7 วัน เพื่อลดจำนวนพาหะนำโรคให้มากที่สุด และสร้างเขตปลอดลูกน้ำยุงลาย

ขอขอบคุณข่าวดีๆ จาก

ข่าวรณรงค์

ช่วยกันลดมลพิษคนละนิด ลดการใช้โฟมและถุงพลาสติก ปิดเครื่องไฟฟ้าหลังใช้งานทุกครั้ง

ความคิดเห็นล่าสุด