ฟังรายการสถานีวิทยุศึกษา FM 92 MHz.



ครอบครัวข่าวสาร





มาร่วมคุยกันดีกว่า

๑๘/๓/๕๑

ทุกข์ของลูก...ที่อยากให้พ่อแม่เข้าใจ

พ่อแม่หลายท่านอาจสงสัยว่า เหตุใดเวลาที่ลูกๆ มีความทุกข์พวกเขาจึงเลือกที่จะเล่าให้เพื่อนๆฟังมากกว่าคนในครอบครัว

แพทย์หญิงปริชวัน จันทร์ศิริ จิตแพทย์เด็ก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ว่า ความทุกข์ของเด็กบางครั้ง ผู้ใหญ่เองก็มองข้ามไป พ่อแม่อาจไม่รู้ว่า ตอนนั้นเด็กกำลังมีความทุกข์ใจเรื่องอะไรอยู่ ความทุกข์ของเด็กเป็นความทุกข์ที่มุมมองของผู้ใหญ่ไม่สามารถรับรู้ได้ อยากให้พ่อแม่เข้าใจว่า เรื่องที่ยากที่สุดของลูกๆ คือการที่ต้องเล่าความทุกข์ให้กับคนที่เรารักฟัง เพราะเด็กไม่อยากให้คนที่เรารักมีความทุกข์เพราะความทุกข์ของเขา

คุณทนงศักดิ์ ศุภการ ดารา-นักแสดง เล่าถึงประสบการณ์ในการเลี้ยงลูก และการมองคนละมุมของคนสองวัยว่า บางครั้งพ่อแม่ก็ใช้ประสบการณ์ของความเป็นผู้ใหญ่ไปมองถึงเหตุผล มากกว่ามองในลักษณะที่เด็กมอง เพราะฉะนั้นเวลาที่เด็กบอกหรืออธิบายอะไร เด็กก็จะพูดถึงความรู้สึกที่พวกเขาต้องการ ณ ตรงนั้น อย่างเด็กทะเลาะกัน เด็กอยากเป็นเชียร์ลีดเดอร์ หรือมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน พ่อแม่อาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับเด็กแล้วเป็นเรื่องที่ใหญ่สำหรับชีวิตเขาในตอนนั้น ถ้าพ่อแม่ลองมองกลับไปตอนที่ยังเป็นเด็ก เรื่องเหล่านั้นก็อาจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพ่อแม่เช่นกัน บางครั้งพ่อแม่ก็เอาจิตใจความรู้สึกนึกคิดของตนเองไปใส่ในจิตใจของลูก แต่ลืมที่จะเอาใจลูกมาใส่ใจเรา

คุณพ่อลูกสาม ยังบอกอีกว่า บางทีการมองคนละมุมก็ทำให้เกิดปัญหาได้เหมือนกัน เพราะเรามองประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา บางเรื่องที่เราเห็นกับความเป็นจริงอาจจะไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกเราก็ต้องฟังที่เขาพูดด้วย พยายามฟังเรื่องที่ลูกจะบอก อย่าเพิ่งไปดุ และตัดสินว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นเรื่องผิด เพราะการที่ลูกมาเล่าเรื่องต่างๆให้พ่อแม่ฟังแล้วถูกดุด่าไปนั้น จะสร้างให้ลูกกลายเป็นเด็กโกหก พ่อแม่จึงต้องรับฟังเขาด้วยความเข้าใจก่อน แล้วจึงช่วยลูกหาทางแก้ปัญหา ต่อไปไม่ว่าลูกๆ จะมีความสุขหรือความทุกข์ ลูกจะเป็นคนที่เดินเข้ามาคุยกับพ่อแม่เอง

หากครอบครัวมีความรัก ความเข้าใจต่อกัน ไม่ว่าจะปัญหาสอบเอ็นทรานซ์ที่เป็นความทุกข์ของลูก หรือปัญหาต่างๆของพ่อแม่ ก็จะสามารถฝ่าฟันไปได้ด้วยพลังของครอบครัว

ข้อมูล: กิจกรรมห้องเรียนพ่อแม่ ชมรมครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว

โทร.0-2954-2346-7




๑๒/๓/๕๑

8 วิธีประคองรักให้มั่นคง


1. การเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ของคนสองคน เกิดมาจากความรักความเข้าใจ และไม่มีสูตรสำเร็จอะไรที่เฉพาะเจาะจงลงไป แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณสองคนพร้อมที่จะเผชิญกับอุปสรรคและร่วมกันฝ่าฟันไปด้วยกันหรือไม่ถ้าคุณสองคนพร้อมที่จะทำสิ่งเหล่านี้ คุณทั้งคู่ก็สามารถประคองรักได้อย่างมั่นคง

2. มองหาจุดบกพร่องของตัวเอง เมื่อมาใช้ชีวิตร่วมกันต่างฝ่ายต่างเห็นจุดบกพร่องของกันและกัน แต่อย่าเอาจุดบกพร่องของอีกฝ่ายมาเป็นกำแพงปิดกั้นการปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องของตนเอง เพราะการที่คุณปรับตัว คู่ของคุณก็จะมองกลับมาหาจุดบกพร่องของตัวเองเช่นกัน

3. อย่าแสดงความไม่พอใจต่อหน้าบุคคลอื่น ไม่ว่าหญิงหรือชายถ้าพบกับเหตุการณ์แบบนี้จะรู้สึกว่าตัวเองถูกฉีกหน้า ผลที่ตามมาคือการมีปากเสียง เก็บความรู้สึกไม่พอใจเวลานั้นไปนั่งจับเข่าคุยกันที่บ้าน ดีกว่าเป็นเป้าสายตาของผู้หวังดี

4. อย่าทุ่มเทให้กับงานมากเกินไป จนลืมมีเวลาให้ครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่มีส่วนผลักดันและสนับสนุนการทำงานของคุณให้เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

5. เมื่อมีปัญหาต้องหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่ว่าพอมีปัญหา ต่างคนก็ต่างหันหลังให้กัน ไม่พูดไม่อธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วปล่อยไว้คิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเดี๋ยวก็ลืมแล้ว แต่คุณรู้ไหมว่ามันคือรอยร้าวที่รอวันแตกจากตัวคุณ หันหน้ามาพูดคุยกันดีกว่า

6. หมั่นเติมใจให้กัน เมื่อคุณทั้งคู่มาใช้ชีวิตร่วมกัน คุณทั้งคู่ย่อมต้องเจอกับความสุขและความทุกข์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน เข้ามาในชีวิต ขอแค่คุณทั้งสองอย่าคิดหมดกำลังใจที่จะต่อสู้ คอยเป็นกำลังใจให้กัน และกันในยามที่เขาหรือเธอทุกข์ใจ

7. หาเวลาไปรำลึกความหลัง ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัด หรือสถานที่ทีคุณสองคนประทับใจ และชอบที่จะไปบ่อย ๆ ใช้ช่วงเวลานั้นเก็บเกี่ยวความทรงจำดี ๆ ที่ทำให้คุณทั้งคู่มีวันนี้

8. อย่าลืมให้อภัยกันและกัน เพราะช่วงชีวิตของคนเรามันไม่ได้ยาวนานเป็นร้อย ๆ ปี คุณควรใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่มอบความรักความรู้สึกดี ๆ ทำให้คู่ชีวิตของคุณมีความสุขที่สุด ตราบเท่าช่วงชีวิตของคุณ.

ขอขอบคุณ

๙/๓/๕๑

ว่าวไทยและว่าวนานาชาติ ครั้งที่ 10


ว่าวไทยและว่าวนานาชาติ ครั้งที่ 10Coloring the Sky

วันที่ 8 มี.ค. 2551 - 9 มี.ค. 2551
สถานที่ ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ค่ายนเรศวร จังหวัดเพชรบุรี และกรุงเทพมหานคร

รายละเอียด การเล่นว่าวเป็นกีฬาที่นิยมกันทั่วโลก และมีวิวัฒนาการหลายศตวรรษทำให้มีการปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบ และวัสดุที่ใช้ทันสมัยขึ้น ปัจจุบันนี้ลักษณะของว่าวจะมีความสวยงามมีโครงสร้างที่ใหญ่ขึ้น และมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการผลิต จึงทำให้มีรูปร่างและโครงสร้างในลักษณะต่าง ๆ กัน ตลอดจนมีวิธีการเล่นหลายรูปแบบ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก ในต่างประเทศเชื่อกันว่ามีการประดิษฐ์ว่าวขึ้นเมื่อ 400 ปี ก่อน คริสตกาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความสนุกสนาน และเพื่อประโยชน์บางอย่างซึ่งจากบันทึกทางวิชาการพบว่าวิศวกรชาวจีนชื่อ กุง ชู ฟาน เป็นผู้ประดิษฐ์นกไม้ขึ้น สามารถชักขึ้นแล้วอยู่ได้ถึง 3 วัน โดยไม่ตก จึงถือได้ว่าเป็นว่าวตัวแรกของโลก

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดงานว่าวไทยและว่าวนานาชาติ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2532 และจัดต่อเนื่องมาในหลายๆพื้นที่ เช่น บริเวณชายทะเลเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี สนามศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร ศูนย์กีฬาเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี และกองพลทหารราบที่ 16 ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ค่ายนเรศวร จนถึงปัจจุบัน และในปี 2551 นี้ ททท. ร่วมกับ จังหวัดเพชรบุรี ค่ายนเรศวร สมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมถ์ สมาคมนักบินว่าวประเทศไทย กรุงเทพมหานคร กำหนดจัดงานว่าวไทยและว่าวนานาชาติ ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 8-9 มีนาคม 2551 จังหวัดเพชรบุรี และ กรุงเทพมหานคร โดยพิจารณาเห็นว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว และสามารถจัดกิจกรรมกีฬาเพื่อการท่องเที่ยวดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น


กิจกรรมหลัก

1. การแสดงว่าวไทย 4 ภาค และว่าวสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

2. การแสดงว่าวนานาชาติในระดับนานาชาติ

3. การแสดงว่าวกลางคืนในระดับนานาชาติ

4. สาธิต นิทรรศการว่าวไทย

5. สาธิตการแข่งขันว่าวจุฬาและปักเป้า

6. การแข่งขันและสาธิตว่าวผาดโผน (Stunt Kite)

7. การแสดงว่าวจุฬาส่ายเร็ว

8. การแสดงว่าวต่อสู้

9. การประกวดว่าวแผง

10. การประดิษฐ์ว่าวสร้างสรรค์

11. การประกวดแผงว่าว

12. คลีนิค และตลาดนัดว่าว

13. กิจกรรมด้านศิลปะสำหรับเด็ก

14. การออกร้านจำหน่ายอาหารและหัตถกรรม


วันอังคาร-พุธที่ 11-12 มีนาคม 2551 “การแสดงว่าวไทยปะทะว่าวนานาชาติ บริเวณสนามหลวง กรุงเทพมหานคร (การแสดงนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในงานว่าวไทยและกีฬาไทย)"

ติดต่อ กองสร้างสรรค์กิจกรรม ททท. โทร. 0 2250 5500 ต่อ 3477

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

๔/๓/๕๑

เมื่อ "กามเทพ" ไม่รู้ใจ บริษัท "จัดหาคู่" คือทางเลือกใหม่...ได้หรือ?



จะด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ หรือยุ้งยุ่งกับงานซะจนไม่มีเวลาเงยหน้าหาความสุขให้ตัวเอง นึกขึ้นได้ก็เพิ่งจะรู้ว่าบางสิ่งในชีวิตขาดหายไป...
เคยนึกอิจฉาคนโน้นคนนี้ที่มีเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อนช่วยคิด ที่จะคุยกันได้ทุกเรื่องบ้างหรือเปล่า?
ถ้าเป็น...ไม่ต้องนั่งปั้นเขียนจดหมายหา "ลุงหนวด" หรือหาคนรู้ใจจาก "น้าชไมพร" หรือพลิกหาคู่ผ่านหนังสือคู่สร้าง-คู่สม หรือใครที่ขยาดกับการหลอกลวงจากการเล่นอินเทอร์เน็ต ลองฟังทางนี้...

แม้ว่าต่างประเทศจะมีบริษัทรับจัดหาคู่กันเกร่อแล้ว แต่บ้านเรายังมีไม่เป็นเรื่องเป็นราว ล่าสุด ธุรกิจจาก "ความเหงา" ได้เปิดตัวขึ้นเป็นทางการแล้ว โดยกลุ่มคนทำงานระดับผู้บริหาร ที่ร่วมกันตั้งบริษัท วีแมทช์ คอนซัลติ้ง จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ http://www.wematch.co.th/
จึงขอคุยกับ 3 ผู้บริหาร "นีน่า" นันทิยา สุคัมภีรานนท์ "แมว" พิชชา ประกายเลิศลักษณ์ และ ดร.โอฬาร โชว์วิวัฒนา โดย "แมว" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บอกถึงที่มาของการก่อตั้งบริษัทว่า "เพื่อนคือแรงบันดาลใจ"!
"คนใกล้ตัว ที่มีหน้าที่การงานและไลฟ์สไตล์ที่ดี แต่ใช้เวลาหมดไปกับงานและความจำเป็นในด้านอื่นๆ โอกาสที่จะพบใครสักคนกลายเป็นเรื่องยาก และไม่สามารถหาคนรู้ใจได้ในที่สุด บางคนถอดใจ ทางเราอยากจัดหาคนรู้ใจให้เพื่อน ที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จดี จึงมีแนวคิดที่จะจัดตั้งขึ้นในรูปแบบบริษัทให้คนเหล่านั้นได้ค้นหาเพื่อน และมีการสานสัมพันธ์ที่ดีต่อไปในอนาคต" หนึ่งในผู้บริหารแจง


สำหรับขั้นตอนการทำงาน นีน่า เล่าว่า เริ่มต้นด้วยการที่ ชาย-หญิง ที่มีความสนใจ และต้องการจะหาเพื่อนใหม่ ติดต่อเข้ามาทางบริษัท ผ่านทางคอล เซ็นเตอร์ อีเมล หรือ เว็บไซต์ จากนั้นบริษัทจะนัดหมายลูกค้า เพื่อสอบถามข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่น อาชีพ การศึกษา สถานะ อายุ ความสนใจ ฐานะทางการเงิน ประวัติอาชญากรรม งานอดิเรก ต้องการพบคนประเภทไหน รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมา และต้องมีบุคคลอ้างอิง ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ แต่ทั้งนี้ข้อมูลของลูกค้าจะถูกเก็บรักษาอย่างเข้มงวดและเป็นความลับสุดยอด ซึ่งการตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดของลูกค้าก่อนใช้บริการ ถือเป็นจุดขายที่แตกต่างจากบริษัทอื่นๆ
จากนั้นก็จะมีการค้นหา และแนะนำผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และตรงตามความต้องการให้ลูกค้าได้รู้ก่อน จากนั้น "การเดท" หรือนัดหมายแรก จะเริ่มขึ้น โดยจะมีทีมงานไปกับลูกค้าด้วย ซึ่งค่าใช้จ่ายในออกเดทแต่ละครั้ง ลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบ
"เราจะจัดการเดทให้ลูกค้า 3 ครั้ง ต่อการสมัครสมาชิกในราคาเพียง 1 หมื่นบาท ซึ่งรวมไปถึงการให้คำปรึกษาส่วนตัวในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ อาทิ การวางตัว การแต่งตัว ที่จะทำให้เกิดความมั่นใจเพิ่มขึ้น และยังติดตามผลหลังการออกเดทของคุณว่าเป็นอย่างไร"

นีน่า ยังเล่าให้ฟังอีกว่า หลังจากเปิดตัวบริษัทมาได้ไม่นาน มีผู้สนใจโทรมาสอบถามและลงทะเบียนสมัครสมาชิกเข้ามาจำนวนมาก เรียกว่าเกินความคาดหมายที่ตั้งไว้แต่แรก จึงมั่นใจในการทำธุรกิจนี้
จากตัวเลขผู้ที่สนใจเข้ามาใช้บริการจำนวนมากนี่เอง สะท้อนให้เห็นว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่แม้จะมีการศึกษาสูง มีหน้าที่การงานดี ฐานะไม่ได้ต้อยต่ำอะไร แต่ขาดซึ่ง "ความรัก" ที่จะช่วยเติมเต็มชีวิต

การ "จัดหาคู่" จะเยียวยา "โรคคนเมือง" ชนิดนี้ได้หรือไม่ น่าจะวัดจากสถิติการเปิดบริษัททำนองเดียวกันนี้ได้ ซึ่งอีกไม่นาน จะสำรวจมาให้ดูกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :

๓/๓/๕๑

บริโภคนิยม ทำคนอีสานนิยมเป็นเมียฝรั่ง

จากกรณีที่นายธีระวุฒิ เจริญราษฎร์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคาย เขต 1 ระบุว่า รู้สึกตัวชาเมื่อคราวได้ยินเด็กระดับอนุบาลบอกว่า "โตขึ้นหนูจะเป็นเมียฝรั่ง" เพราะเชื่อว่าทำให้รวย มีบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นการยึดติดวัตถุมากกว่าจิตใจ โดยปลัดกระทรวงวัฒนธรรมบอกว่า เพราะเด็กเห็นคนเป็นเมียฝรั่งมีความเป็นอยู่สบาย จึงซึมซับแนวคิดนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันดูแลแก้ไขนั้น

ล่าสุด จากรายงานผลการศึกษาวิจัย ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกี่ยวกับหญิงไทยในภาคอีสานที่สมรสกับชาวต่างชาติ ระบุว่า ประมาณปี 2546 ที่ผ่านมา มีคู่สมรสหญิงไทยกับชาวต่างชาติจำนวน 19,594 คู่ จาก 19 จังหวัดภาคอีสาน ทั้งนี้ ผลการศึกษาวิจัยยังพบว่า หญิงไทยที่แต่งงานกับคนต่างชาติจบการศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ 69 รองลงมาคือระดับมัธยมศึกษา ร้อยละ 24 รายได้ของหญิงไทยในอีสานก่อนแต่งงานอยู่ที่ 2,900 - 4,600 บาท/คน/เดือน แต่หลังแต่งมีรายได้สำหรับใช้จ่ายส่วนตัวมากถึง 45,000 บาท/คน/เดือน โดยคู่สมรสชาวต่างชาติของหญิงไทยในภาคอีสาน ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป ได้แก่ เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งสามีชาวต่างชาติส่วนใหญ่มีหน้าที่การงานที่มั่นคงและรายได้สูง เฉลี่ยเดือนละ 120,000 - 200,000 บาท

ทางด้าน นายมนตรี บุญพาณิชย์ ผอ.สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยหญิงไทยในภาคอีสานทั้งก่อนและหลังแต่งงานกับชาวต่างชาติ พบว่าส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เมื่อวิถีการดำรงชีวิตเปลี่ยนไปโดยกลายเป็น "บริโภคนิยม" ทำให้เกิดค่านิยมเรื่องการแต่งงานกับชาวต่างชาติในกลุ่มหญิงไทย ซึ่งจากการวิจัยของนักวิจัยหลายสถาบันก็มีทั้งผลดีและผลเสีย ขณะที่ รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ อาจารย์ประจำวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเคยศึกษาวิจัยพฤติกรรมหญิงชาวอีสานที่นิยมแต่งงานกับชาวต่างชาติ กล่าวว่า ในเรื่องนี้ยังไม่ได้มีการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ แต่จากการศึกษาวิจัยมาก่อนหน้านี้ คาดการณ์ว่าแนวโน้มหญิงไทยแต่งงานกับชาวต่างชาติจะเพิ่มมากขึ้น




ข้อความล้อเลียนหรือความคิดเห็นของใครบางคนบริเวณตรอกพระยาเพชร (คือตรอกหลังคณะสถาปัตย์แห่งมหาวิทยาลัยท่าช้าง)

(ภาพจาก : บทความท่าพระจันทร์, Where are you? )




โดยก่อนหน้านี้การศึกษาถือเป็นสิ่งที่สำคัญของชีวิต เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของชีวิต แต่ปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้น วัยรุ่นมองไม่เห็นช่องทางหรือโอกาสในการก้าวหน้า เพราะผู้ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี-โท ก็ตกงานถมเถไป หรือมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย เคยสอบถามนักศึกษาบางกลุ่มในระดับอุดมศึกษาว่า คิดอย่างไรกับการแต่งงานข้ามชาติ มีนักศึกษาบางรายที่มีแฟนแล้วตอบว่า "ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะมีแฟนเป็นชาวต่างชาติ" เพราะเปลี่ยนแปลงชีวิตทันตาเห็น เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ ทั้งบ้าน รถ และเงินทอง ชี้ให้เห็นถึงทัศนคติว่า คนเชื่อมโยงกับสังคมวัตถุนิยมมากขึ้น เป็นตัวกระตุ้นให้คนมีความอยากมากขึ้น ใจร้อนมากขึ้น ไม่รอเก็บเงินเก็บทองเพื่อสร้างฐานะแต่อยากจะใช้วิธีนี้แทน เรียกได้ว่า "ใช้เศรษฐกิจเป็นตัวนำสังคม"

ขอขอบคุณ

ข้อมูลเพิ่มเติม : เตือนสาวไทยระวังมีผัวฝรั่งน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า

ข่าวรณรงค์

ช่วยกันลดมลพิษคนละนิด ลดการใช้โฟมและถุงพลาสติก ปิดเครื่องไฟฟ้าหลังใช้งานทุกครั้ง

ความคิดเห็นล่าสุด