ฟังรายการสถานีวิทยุศึกษา FM 92 MHz.



ครอบครัวข่าวสาร





มาร่วมคุยกันดีกว่า

๒๖/๑/๕๑

การันตีเซรามิกลำปางไร้สารตะกั่ว


นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ได้ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ทำการเก็บ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เซรามิกในบริเวณแหล่งจำหน่ายให้ประชาชนเขต อ.เมืองลำปาง จำนวน 61 ตัวอย่าง นำไปตรวจวิเคราะห์หาสารตะกั่วปนเปื้อน ซึ่งไม่พบสารตะกั่วเกินมาตรฐานแต่อย่างใด มีความปลอดภัย สามารถใช้ใส่อาหารเพื่อบริโภคได้

นพ.มานิต กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการตรวจพบสารตะกั่วปนเปื้อนในภาชนะเซรามิกซึ่งจำหน่ายบริเวณตลาดนัดพื้นที่ จ.นนทบุรี และมีการนำเสนอข่าวที่มีภาพประกอบเป็นชามตราไก่ ทำให้ผู้บริโภคสำคัญผิดคิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์เซรามิกของลำปาง ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ

“ฝากเตือนประชาชนในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เซรามิกมาใช้บรรจุอาหาร ควรเลือกซื้อชนิดที่ไม่มีลวดลายด้านใน หรือหากมีลวดลายด้านในให้เลือกที่ลวดลายเรียบเป็นเนื้อเดียวกับกระเบื้อง โดยลูบที่ลาย พื้นผิวด้านในจะต้องเรียบ ไม่ขรุขระ หากมีรอยนูนแล้วสะดุด แสดงว่ากระบวนการผลิตไม่เหมาะสม อาจมีสีหรือสารตะกั่วละลายออกมาได้เมื่อใช้งาน” นพ.มานิต กล่าว


ขอบคุณข่าวจาก

๒๓/๑/๕๑

ทำบุญตักบาตร 50 วัน - 100 วัน ถวายพระพี่นาง พร้อมกันทั่วประเทศ


นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวัง ในฐานะรองประธานกรรมการฝ่ายจัดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการพระราชพิธีว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสครบ 50 วัน ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และครบรอบ 100 วัน ในวันที่ 11 เมษายน พร้อมกันทั้งกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัด

"โดยในกรุงเทพมหานคร จัดขึ้นที่ท้องสนามหลวง หรือที่พระลานพระราชวังดุสิต และให้ทุกจังหวัดจัดพิธีพร้อมกับกรุงเทพมหานครตามความเหมาะสม โดยมอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการจัดพิธีในกรุงเทพมหานคร และให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดจัดพิธีพร้อมกับกรุงเทพมหานคร จึงขอเชิญชวนให้หน่วยงานภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมพิธีด้วย " เลขาธิการพระราชวัง กล่าว
นายแก้วขวัญ กล่าวต่อว่า สำนักพระราชวังได้แจ้งให้ทราบว่าประชาชนที่มีความประสงค์จะขอมีส่วนร่วมในงานถวายสักการะพระศพสามารถกระทำได้คือ


1. การขอร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลถวายสักการะพระศพฯ หรือนำพวงมาลาเข้าถวายสักการะพระศพฯ ขอให้แจ้งความประสงค์ไปที่สำนักพระราชวัง

2. การบริจาคเงินเพื่อกองทุนสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ หรือบริจาคเงินเพื่อมูลนิธิใดๆ ก็ตาม ที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ขอให้เขียนชื่อกองทุนหรือมูลนิธิไว้ที่หน้าซอง และส่งสำนักพระราชวังซึ่งได้จัดตั้งพานรับไว้แล้วที่พระบรมมหาราชวัง

3. ผู้ที่บริจาคสนับสนุนอาหารและเครื่องดื่มเพื่อบริการประชาชนให้นำไปที่โรงทานตามที่กรุงเทพมหานครจัดตั้งไว้ที่ท้องสนามหลวง



ขอขอบคุณ และอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

๒๒/๑/๕๑

วิจัยผลไม้ไทย ต้านโรคมะเร็ง

เมื่อวันที่ 20 ม.ค. นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า

ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดมาจากพฤติกรรมการกินการอยู่มากขึ้น ข้อมูลการวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศบ่งชี้ว่า ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้อง กับสารที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ โดยอนุมูลอิสระดังกล่าว สามารถทำปฏิกิริยาโยงใยในร่างกายได้มากมาย ก่อให้ เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะโรคมะเร็งและโรคหัวใจนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลก สำหรับคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว จากปี 2540 เสียชีวิต 26,237 คน เป็น 52,062 คน ในปี 2549 เฉลี่ยชั่วโมงละ 6 ราย เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดปีละ 34,000 ราย เฉลี่ยชั่วโมงละ 4 ราย โดยอนุมูลอิสระนี้ มาจากภายนอกและภายใน ร่างกาย ได้แก่ มลพิษในอากาศ จากควันบุหรี่ แสงแดด รังสีแกมมา คลื่นความร้อน ส่วนที่มาจากภายในร่างกายเกิดจากกระบวนการเผาผลาญของออกซิเจนภายในเซลล์ หรือเกิดจากย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ก็ทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้



ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า จากการวิจัยดังกล่าวพบว่า มีสารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน สารทั้ง 3 ตัวนี้ สามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ จะทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ ส่วนวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีในอาหารธรรมชาติประมาณ 600 กว่าชนิด ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตาเนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อย่างดี ทั้งนี้ สารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีมากในผักผลไม้หลายชนิด โดยเฉพาะที่มีสีเขียว แดง แสด และเหลือง เช่น ผักใบสีเขียวเข้ม ได้แก่ ผักขม ผักคะน้า ผักตำลึง ผักบุ้ง ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท มะเขือเทศ มะม่วงสุก มะละกอสุก เป็นต้น วิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน และมีมากในน้ำมันพืชทั่วไป เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เป็นต้น ในผักและผลไม้มีวิตามินอีค่อนข้างน้อย ส่วนวิตามินซีมีมากในผักและผลไม้สดทั่วไป


ด้าน นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากการที่กรมอนามัยทำการศึกษาผลไม้ ที่มีบริโภคในประเทศไทย 83 ชนิด ในปริมาณส่วนที่รับประทาน 100 กรัม พบว่า ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 873 ไมโครกรัม รองลงมา ได้แก่ มะเขือเทศราชินี 639 ไมโครกรัม มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม แคนตาลูปเหลือง 217 ไมโครกรัม มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม มะยงชิด 207 ไมโครกรัม สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม แตงโม 122 ไมโครกรัม ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม และลูกพลับ 93 ไมโครกรัม


สำหรับผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม และสตรอเบอร์รี่มี 0.54 มิลลิกรัม ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม สตรอเบอร์รี่ 66 มิลลิกรัม มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม พุทราแอปเปิ้ล 47 มิลลิกรัม และส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม และจากการศึกษากล้วยต่างๆ 24 สายพันธุ์ พบว่า กล้วยไข่พม่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงสุด 528 ไมโครกรัม รองลงมาคือ กล้วยงาช้าง 520 ไมโครกรัม กล้วยไข่โนนสูง 397 ไมโครกรัม กล้วยนางพญา 393 ไมโครกรัม กล้วยไข่ 271 ไมโครกรัม และกล้วยหักมุกนวล 270 ไมโครกรัม

อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อว่า ปกติเราจะได้รับสารอาหารทั้ง 3 ชนิดจากการรับประทานอาหารโดยทั่วไปน้อย เพราะถูกทำลายได้ง่ายจากความร้อน จึงต้องเพิ่มการรับประทานผลไม้และผักสดด้วย โดยแนะนำให้รับประทานอาหารให้หลากหลายชนิดและให้ได้สัดส่วนตามธงโภชนาการ โดยใน 1 วันคนเราควรบริโภคผลไม้ ให้ได้วันละ 4 ส่วน โดย 1 ส่วนของผลไม้ หากเป็นผลไม้ขนาดเล็ก เช่น องุ่น ลิ้นจี่ ลำไย เท่ากับ 6-8 ผล, ผลไม้ขนาดกลาง เช่น ส้ม ชมพู่ กล้วย น้อยหน่า เท่ากับ 1-2 ผล ส่วนผลไม้ขนาดใหญ่เช่น แตงโม สับปะรด มะละกอ จะเท่ากับ 6-8 ชิ้นพอคำ อย่างไรก็ดี ในกลุ่มที่ต้องคุมปริมาณน้ำตาล โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน อาจต้องเลือกผลไม้ที่รสไม่หวาน ในอเมริกาได้แนะนำให้ผู้ชายบริโภคแคโรทีนอยด์วันละ 6 มิลลิกรัม ในคนไทยแนะนำให้บริโภควิตามินอีวันละ 6-15 มิลลิกรัม และวิตามินซีวันละ 40-90 มิลลิกรัม


ขอขอบคุณ :

๑๙/๑/๕๑

ทีวีสาธารณะ : สื่อโทรทัศน์รูปแบบใหม่

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกสัมปทานการดำเนินกิจการสถานีโทรทัศน์จากบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) และเปลี่ยนชื่อจากสถานีโทรทัศน์ไอทีวีมาเป็นสถานีโทรทัศน์ทีไอทีวีแทน และมีมติแปลงสภาพกิจการสถานีโทรทัศน์ "ทีไอทีวี" หรือ "ไอทีวีเดิม" ให้ยกระดับไปสู่บทบาทของการเป็น "ทีวีสาธารณะ" ซึ่งความหมายก็คือ สถานีโทรทัศน์ที่เน้นการผลิตรายการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน


โดยเนื้อหาสาระที่นำเสนอปราศจากการครอบงำจากรัฐบาลและกลุ่มทุนใดๆ มีหน่วยงานตรวจสอบเนื้อหาที่ถ่ายทอด หรือการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ที่เน้นรายการข่าวและสารคดีเช่นเดียวกับที่ออกอากาศในต่างประเทศ ซึ่งแตกต่างจากการดำเนินธุรกิจโทรทัศน์ในปัจจุบันที่เน้นการผลิตรายการโทรทัศน์ในเชิงพาณิชย์ สามารถผลิตรายการเพื่อออกอากาศได้ทั้งรายการที่เป็นสาระและบันเทิง โดยเน้นความนิยมของรายการ และสามารถหารายได้จากการโฆษณาได้

การศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่าการจัดให้มีสถานีโทรทัศน์สาธารณะในประเทศไทยมีทั้งข้อดีและข้อควรระวังที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนและสังคม ผลดีนั้นการให้บริการโทรทัศน์แบบสาธารณะน่าจะเป็นทางเลือกให้กับผู้รับชมรายการให้ได้รับชมรายการที่ดี มีประโยชน์และสามารถสร้างเส้นทางต่อเนื่องไปสู่การพัฒนาคุณภาพของคนได้ โดยผ่านสื่อโทรทัศน์ซึ่งถือว่าเป็นสื่อที่เข้าถึงประชาชนได้ในวงกว้างมากที่สุด เป็นทางเลือกให้กับผู้ชมที่ต้องการรับชมรายการที่ดี มีสาระมากกว่าที่จะมีเพียงสถานีโทรทัศน์ที่เน้นเพื่อความบันเทิงและให้บริการในเชิงพาณิชย์เป็นจำนวนมาก แต่ก็มีข้อพึงระวังในการบริหารของสถานีโทรทัศน์สาธารณะค่อนข้างมาก ยิ่งคุณภาพของรายการที่ผลิต ซึ่งจะไม่เน้นรายการด้านบันเทิง แต่รายการที่ออกอากาศก็จำเป็นที่จะต้องมีความดึงดูดผู้ชมได้มากพอสมควร การผลิตรายการเชิงสาระที่น่าติดตามนั้นยังมีจำนวนไม่มากนักในประเทศไทย ทำให้ขาดบุคลากรทางการผลิตรายการทางด้านนี้ค่อนข้างมาก จึงจำเป็นที่จะต้องเร่งพัฒนาให้ทันกับช่วงระยะเวลาในการจัดตั้งสถานีซึ่งค่อนข้างสั้น

นอกจากประเด็นเรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาควบคุม หรือบริหารสถานีก็ต้องมีความโปร่งใสสามารถทำงานโดยอิสระอย่างแท้จริง โดยปราศจากการครอบงำจากกลุ่มใดๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ทั้งประเด็นทางด้านการจัดสรรรายได้ให้กับช่องโทรทัศน์สาธารณะนั้นก็จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผน ให้สามารถคงอยู่ได้ในระยะยาว

ซึ่งงบประมาณในการจัดสรรรายได้ให้กับสถานีนั้นน่าจะมีจากหลายๆ แหล่ง เช่น ในรูปแบบของกองทุน เป็นต้น แม้รูปแบบการจัดให้มีโทรทัศน์สาธารณะในประเทศไทยจะเป็นรูปแบบที่ดีที่ควรจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ในภาวะที่การแข่งขันของธุรกิจโทรทัศน์เชิงพาณิชย์ในปัจจุบันนั้นตั้งเป้าหมายเพื่อช่วงชิงรายได้ที่มาจากการโฆษณาเป็นหลัก ทำให้ที่ผ่านมาประเทศไทยขาด หรือมีรายการที่ส่งเสริมความรู้ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามค่อนข้างน้อย ทำให้ผู้ชมหรือพลเมืองขาดทางเลือกในการรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง และขาดทางเลือกในการรับชมโทรทัศน์ในลักษณะกลุ่มเฉพาะ

การเพิ่มทางเลือกโดยผ่านโทรทัศน์สาธารณะก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่า สถานีโทรทัศน์สาธารณะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบสื่อในประเทศไทยเท่านั้น โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ยังมีจำนวนช่องฟรีทีวีที่ออกอากาศเพียงไม่กี่ราย ทำให้ตลาดมีการแข่งขันกันอย่างไม่สมบูรณ์และความหลากหลายของรายการน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในระยะยาวแล้ว การเร่งเปิดให้มีธุรกิจโทรทัศน์เชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องพิจารณาเข้ามาช่วยเสริมให้การแข่งขันในธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น และมีการกำหนดกลไกเข้ามาดูแลอย่างเร่งด่วน เพื่อให้การพัฒนารูปแบบของธุรกิจโทรทัศน์ในประเทศไทยสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยความโปร่งใสและมีรายการที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต นอกจากให้ความบันเทิงกับผู้ชมแล้วยังต้องใช้เพื่อการพัฒนาความรู้ความสามารถได้อีกทางหนึ่งด้วย

ขอขอบคุณ :

ทีวีเสรีกับทีวีสาธารณะ

โดย ปรมะ สตะเวทิน คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มติชนรายวัน วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10624


ทีวีในประเทศประชาธิปไตยนั้น ถือหลักเสรีภาพของสื่อมวลชนเป็นสำคัญ ทีวีจึงเป็นเสรี ที่ว่าเสรีนั้น หมายความว่าเป็นอิสระจากการแทรกแซง ของอำนาจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจรัฐ สถานีโทรทัศน์ดำเนินกิจการโดยวิจารณญาณของตนเองโดยเสรี มีการแข่งขันกันโดยเสรี

ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทีวีเป็นเสรี มีการดำเนินกิจการใน 2 รูปแบบ
รูปแบบที่หนึ่ง คือ แบบธุรกิจ แสวงหากำไร เป็นทีวีของเอกชน
รูปแบบที่สอง คือ แบบไม่เป็นธุรกิจ ไม่แสวงหากำไร เป็นทีวีสาธารณะ

ในประเทศสหรัฐอเมริกาในระยะแรกนับตั้งแต่มีทีวี เมื่อ ค.ศ.1939 จึงเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาดำเนินกิจการทีวีในรูปของธุรกิจ โดยมีเอกชนเป็นเจ้าของ มีการโฆษณาสินค้า เพื่อเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของทีวี มีเครือข่ายทีวี (Network) ของเอกชนดำเนินการอยู่ 3 เครือข่าย คือ ABC(American Broadcastion company) CBS (columbia Broadcastion System) และ NBC (National Broadcasting Company)

เครือข่ายทีวีเอกชนทั้ง 3 ได้ทำการออกอากาศรายการต่างๆ ทั้งข่าวสาร, กีฬา และความบันเทิง จนถึงปลายศตวรรษที่ 20 ก็เริ่มเกิดความรู้สึกกันโดยทั่วไปว่า เครือข่ายทั้ง 3 เสนอรายการที่เป็นบันเทิงมากเกินไป จนกระทั่งเนื้อหาด้านความรู้ ศิลปะ และรายการสำหรับเด็กๆ มีอยู่น้อยเต็มที จึงได้มีการจัดตั้งเครือข่าย PBS เพิ่มขึ้น (Public Broadcasting Service) เป็นทีวีสาธารณะ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความรู้ ศิลปะ และรายการเด็กที่มีจำนวนจำกัดในทีวีของเอกชน

PBS ดำเนินกิจการโดยอาศัยเงินทุนอุดหนุนจากรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่ได้เข้ามาแทรกแซงการดำเนินงานของ PBS แต่อย่างใด

ในประเทศอังกฤษเหตุการณ์กลับตรงกันข้าม กล่าวคือ ทีวีในอังกฤษเริ่มต้นจากทีวีสาธารณะก่อน ซึ่งดำเนินการโดยบรรษัทการกระจายเสียงแห่งอังกฤษ (British Broadcasting Corporation) หรือ BBC ตั้งแต่ปี ค.ศ.1936 การดำเนินกิจการของ BBC ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตมีเครื่องรับ (licensing fees) ของเจ้าของเครื่องรับโทรทัศน์เป็นสำคัญ รัฐบาลไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่ได้ควบคุมการดำเนินงานของ BBC BBC บริหารโดยคณะกรรมการที่เรียกว่า Board of Governors ซึ่งแต่งตั้งโดยพระบรมราชินีนาถแห่งอังกฤษ

อ่านต่อ คลิก........

๑๕/๑/๕๑

ผลสำรวจพบเด็กไทยมีความสามารถแข่งขันด้านการศึกษารั้งท้ายนานาประเทศ

นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า
จากผลการวัดความสามารถการแข่งขันของประเทศต่างๆ ด้านการศึกษาประจำปี 2550 ของสถาบันนานาชาติเพื่อการพัฒนาการจัดการ (ไอเอ็มดี) พบว่า คนไทยมีสมรรถนะอยู่ในลำดับที่ 46 ทั้งนี้ จากการสำรวจทั้งหมด 55 ประเทศทั่วโลก โดยมีผลประเมินแยกตามโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษา 10 รายการ คือ

  • อัตราส่วนนักเรียนต่อครูประถมได้อันดับ 43 โดยมีครู 1 คนต่อนักเรียน 20.68 คน
  • อัตราส่วนนักเรียนต่อครูมัธยมได้อันดับที่ 48 มีครู 1 คนต่อนักเรียน 21 คน
  • อัตราเข้าเรียนระดับมัธยมอันดับที่ 46 มีเยาวชนอายุ 12-17 ปีได้เข้าเรียนมัธยม 72% จากประชากรวัยเดียวกัน
  • อัตราการไม่รู้หนังสือของผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป อันดับ 43 ในอัตรา 7.4%
  • การลงทุนทางการศึกษาของภาครัฐอันดับ 42 มีการลงทุนในอัตรา 4.1% ของจีดีพี
  • ผลสัมฤทธิ์อุดมศึกษา อันดับที่ 39 มีอัตราผู้สำเร็จระดับอุดมศึกษา 18%
  • ด้านการถ่ายโอนความรู้ระหว่างภาคธุรกิจกับมหาวิทยาลัย มีการจัดการศึกษาตอบสนองภาคธุรกิจ ตลาดแรงงานอันดับที่ 42
  • การตอบสนองความสามารถใน การแข่งขันของระบบการศึกษาอันดับที่ 38
  • การตอบสนองความสามารถในการแข่งขันของการอุดมศึกษาต่อภาคเศรษฐกิจและการแข่งขัน อันดับที่ 39
  • ทักษะด้านภาษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการ อันดับที่ 48

นอกจากนี้ จากการประเมินเพื่อวัดคุณภาพการศึกษาในประเทศเป้าหมาย 41 ประเทศ ด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ในปี 2550 ขอโครงการสำรวจความรู้และทักษะการเรียนของเด็กอายุ 15 ปี (PISA) ในประเทศสมาชิกขององค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) พบว่า เวลาเรียน 2 วิชานี้ของนักเรียนไทยน้อยกว่าประเทศอื่น รวมทั้งขาดแคลนครูที่มีความสามารถ อีกทั้งนักเรียนไทยอายุ 15 ปี เขียนสะกดและใช้คำผิดมากที่สุด ไม่สามารถแยกแยะระหว่างภาษาพูดกับภาษาเขียน เรียงประโยค ไม่เป็น เรียบเรียงความคิดลงเป็นการเขียนไม่ได้

นางจรวยพร กล่าวว่า ปัญหาการศึกษาไทยมีสาเหตุจากการคิดและอ่านของเยาวชน 4 ประการ คือ

  1. เยาวชนคิดผิด คือ คิดแบบเอาเปรียบ คิดเรียนลัด คิดเก็งกำไร
  2. คิดไม่เป็น คือ ตามผู้อื่น เลียนแบบ เชื่อเพราะผู้พูดเป็นผู้ใหญ่หรือ ผู้อาวุโส
  3. ไม่คิด คือ ติดนิสัยพึ่งพา ผู้อื่น เชื่อตัวบุคคล เชื่อนักวิชาการ เชื่อหนังสือพิมพ์ โดยไม่ไตร่ตรอง
  4. คิดแล้วไม่ทำ คือ ประชุมเสร็จก็เลิกรา ปล่อยให้คนที่รับผิดชอบไปทำคนเดียว ไม่ช่วยระดมในรูปกลุ่ม ดังนั้นต้องร่วมกันแก้ปัญหาเหล่านี้

ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์โพสท์ทูเดย์

๑๒/๑/๕๑

มาพาน้อง ๆ หนู ๆ เที่ยวงาน วันเด็ก

อย่างไรก็ตาม สืบเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 2 มกราคม มกราคม 2551 ที่ผ่านมา หลายหน่วยงานจึงงดกิจกรรมรื่นเริงทุกประเภท เพื่อแสดงความไว้อาลัย แต่จะเน้นไปที่การตอบปัญหาชิงรางวัล นิทรรศการส่งเสริมความรู้ และกิจกรรมทางวิชาการ แล้วที่ไหนมีกิจกรรมให้น้อง ๆ ได้ร่วมสนุกบ้าง ลองมาดูกัน...

สดร. ร่วมจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ปี 2551
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) จัดงานวันเด็กแห่งชาติ ณ สันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล มีกิจกรรมให้เด็ก ๆ ได้ร่วมสนุกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-354-3756 หรือ
http://www.narit.or.th/

ฝึกฝนการออม กับกิจกรรมวันเด็กที่ พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย
พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย จะจัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2551 ในวันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2551 ตั้งแต่เวลา 9.00-15.00 น. ณ อาคารตำหนักวังบางขุนพรหม ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนของชาติได้เรียนรู้ในเรื่อง “รู้จักออม รู้จักใช้ สร้างวินัย ไม่ฟุ่มเฟือย” ผ่านกิจกรรมต่างๆ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 283 6723, 02 283 5286


กทม.จัดงานวันเด็ก
เน้นสาระ การเรียนรู้ กรุงเทพมหานคร พร้อมจัดกิจกรรม งานวันเด็กแห่งชาติ 2551 ในวันเสาร์ที่ 12 ม.ค. 51 ณ ณ สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) ตั้งแต่เวลา 08.00 – 16.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-615 7333 ต่อ 132


มภาพยนตร์วันเด็ก ที่ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ
มีกิจกรรมฉายภาพยนตร์สารคดีชุด The Universe ตอน Secrets of the Sun เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ โทร. 0-2391-0544 และ 0-2392-1773

สนุกสุขสันต์วันของเด็ก ๆ ที่ TK PARK
ในวันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2551 ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป ที่อุทยานการเรียนรู้ TK park ชั้น 8 อาคารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ Dazzle Zone

วันเด็ก เด็กเที่ยว ‘ฟรี’ ที่เขาดิน

น้อง ๆ ที่มีความสูงไม่เกิน 135 ซม. สามารถเที่ยวเขาดินได้ ‘ฟรี’ ตั้งแต่วันที่ 12 – 31 มกราคม 2551 โดยเฉพาะในวันเด็กแห่งชาติที่เขาดิน มีหน่วยงานภาครัฐ เอกชนร่วมจัดกิจกรรมเสริม แจกของขวัญของรางวัล สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สวนสัตว์ดุสิต โทร. 02-282-7111-3

เมเจอร์ เปิดโรงหนังให้น้อง ๆ ดูหนัง ‘ฟรี’
เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป เปิดโรงภาพยนตร์ให้น้อง ๆ ที่มีความสูงไม่เกิน 110 ซม. เข้าชมภาพยนตร์ฟรี ทุกเรื่อง ทุกรอบ ทุกสาขา ของทุกแบรนด์ทั่วประเทศ ได้แก่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์, อีจีวี, พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และเอสพละนาด ซีนีเพล็กซ์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.majorcineplex.com/

The Mall KID'S FUNTASIA ผจญภัย สัตว์โลกหรรษา
ครั้งแรกกับการเปิดโลกผจญภัยในดินแดนฟาร์มจำลองสไตล์คาวบอยของสัตว์น้อยน่ารักให้คุรหนู ๆ ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด อาทิ วัวแคระ ม้าแคระ ไก่แจ้ กระต่าย หนู นกแสนรู้ ร่วมแอ๊กชั่นถ่ายภาพกับหนุ่มสาวคาวบอย และอินเดียแดง พร้อมสนุกสนานกับซุ้มเกมส์รับของรางวัลมากมาย ในวันที่ 12-13 มกราคม 2551 ที่ MCC HALL ชั้น 4 เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
http://www.themalldepartmentstore.com/

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในหลาย ๆ หน่วยงานที่ร่วมกันจัดกิจกรรมวันเด็กขึ้น ใกล้ที่ไหนก็ไปที่นั่นแล้วกันนะคะ...

ขอขอบคุณ : เดลินิวส์ , kratookfilm

๔/๑/๕๑

ประกาศสำนักพระราชวัง เรื่อง การถวายสักการะพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์


ด้วยสำนักพระราชวังได้กำหนดการถวายสักการะพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ดังนี้

1.เปิดศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ให้ประชาชนได้เข้าถวายสักการะหน้าพระฉายาลักษณ์ เวลา 09.00 - 17.00 น.ตั้งแต่ วันที่ 3 - 9 มกราคม 2551 ซึ่งในการนี้ได้จัดสมุดลงนามถวายสักการะไว้ด้วย


2. ให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ในเวลา 09.00 - 16.00 น.ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2551 เป็นต้นไป


จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน


สำนักพระราชวัง


วันที่ 2 มกราคม 2551

๒/๑/๕๑

สมเด็จพระพี่นางเธอฯ สิ้นพระชนม์


สำนักพระราชวังมีประกาศ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์


วันนี้ (2 ม.ค.) สำนักพระราชวัง มีประกาศเรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์ ความว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2550 ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ พระอาการประชวรได้ทรุดลงตามลำดับ และได้สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 02.54 น. วันที่ 2 ม.ค.2551 รวมพระชันษา 84 ปี


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพถวายพระเกียรติศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในบรมมหาราชวัง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนัก ไว้ทุกข์ถวายมีกำหนด 100 วัน ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์เป็นต้นไป อนึ่งทรงพระกุรณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายน ำสรงพระศพ หน้าพระฉายาลักษณ์ ซึ่งประดิษฐาน ณ ศาลาสหไทยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 13.00 น. -16.00 น. วันพุธที่ 2 ม.ค.2551


ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 2 มกราคม 2551

ข่าวรณรงค์

ช่วยกันลดมลพิษคนละนิด ลดการใช้โฟมและถุงพลาสติก ปิดเครื่องไฟฟ้าหลังใช้งานทุกครั้ง

ความคิดเห็นล่าสุด