ฟังรายการสถานีวิทยุศึกษา FM 92 MHz.



ครอบครัวข่าวสาร





มาร่วมคุยกันดีกว่า

๒๔/๖/๕๑

ขยะ... ที่อยู่ในใจ


ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ

คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่

ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ

คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ

1. ความไม่พอใจ มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ

2. ความผิดหวัง 2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือหวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์

3. ความอิจฉาริษยา ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่า การที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา

4. ความยึดมั่นถือมั่น ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวาง ‘สิ่งนอกตัว’ เหล่านั้นลงได้ ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเอง ว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง

5. ความกลัว ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม

6. ความอยาก จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆ ก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้น ใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้

ทำอย่างไรให้ใจสะอาด



เริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเรา เป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆ ลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบัน เท่ากับการปิดฝาถังขยะ ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆ ให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน





ใจ...แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆ มาปะพอก จนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจ เต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง อย่าไปบงการหัวใจมาก เพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน


ขอขอบคุณ

๑๖/๖/๕๑

ผู้ชายท้อง!! คนแรกของโลก


หมอพันธุ์ศักดิ์ ยืนยันผู้ชายแท้ท้องไม่ได้ ถ้าไม่ใช้วิธีพิเศษ เพราะไม่มีรังไข่ ส่วนเรื่องความเหมาะสมขึ้นอยู่กับสิทธิตามกฎหมายของประเทศนั้น

(9มิ.ย.) กรณีนายโทมัส บีตตี้ ผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นชายตั้งท้องรายแรกของโลก ซึ่งจะคลอดลูกในอีก 4 สัปดาห์หน้า น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินารีแพทย์ ให้ความเห็นว่า ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะนายโทมัสเป็นผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชาย แต่ยังเก็บมดลูกและรังไข่เอาไว้ แล้วกินฮอร์โมนเพศชาย ทำให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนผู้ชายทั่วไป ดังนั้นโดยสภาพฮอร์โมนโทมัสก็คือผู้ชาย แล้วตัดแต่งอวัยวะให้เป็นผู้ชาย แล้วไปแต่งงานกับนางแนนซี ซึ่งเป็นผู้หญิงจริงๆ แต่นางแนนซี ท้องไม่ได้เพราะมีปัญหาต้องตัดมดลูกทิ้ง นายโทมัสจึงตัดสินใจตั้งท้องเอง เวลาตั้งท้องจึงไปใช้อสุจิของผู้บริจาคและน่าจะปฎิสนธิกับไข่ของนางแนนซี แล้วใส่กลับเข้าไปในมดลูกของโทมัส แต่ครั้งนั้นไม่ท้อง โทมัสจึงตัดสินใจจะใช้ไข่ของตัวเอง เพราะโทมัสเป็นผู้หญิง พอหยุดใช้ฮอร์โมนเพศชายใช้ทำให้สรีระร่างกายกลับมาเป็นผู้หญิงเหมือนเดิมทำให้รังไข่กลับมาทำงานเหมือนเดิม

"เรื่องนี้ไม่น่าตื่นเต้นเพราะเป็นเรื่องผู้หญิงตั้งท้องตามปกติ ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ที่อาโนชวาสเนกเกอร์แสดง เรื่อง ทวิน ที่ตั้งท้อง ซึ่งการตั้งท้องลักษณะดังกล่าวเรียกว่าท้องนอกมดลูก ซึ่งผู้หญิงก็เคยเกิดลักษณะดังกล่าว เวลาปฎิสนธิแล้วในท่อนำไข่แทนที่มันจะไหลย้อนกลับไปยังท่อรังไข่ผู้หญิง แต่กลับไปตกพังผืดในท้องถ้ามีเลือดไปเลี้ยงก็โตได้เหมือนกัน เราเคยเจอในผู้หญิงที่ตั้งท้องนอกมดลูกแบบนี้ แล้วท้องเกือบ 30 อาทิตย์เอาออกมาก็รอด" นายแพทย์สูตินารี กล่าว
น.พ.พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ชายจริงๆ ท้องไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไม่มีวิธีพิเศษช่วยก็ตั้งท้องไม่ได้ ไม่ควรไปลอง เพราะผู้ชายไม่มีมดลูก แต่ผู้หญิงเวลาแปลงเพศเป็นผู้ชาย จะแปลงเพศได้ 2 อย่าง คือ 1.ตัดทิ้งหมดทุกอย่างทั้งมดลูกรังไข่แล้วทำอวัยวะเทียมข้างนอกให้เป็นผู้ชาย กรณีนี้ให้ฮอร์โมนเพศชายไม่สูงนัก และกรณีโทมัสรังไข่ยังอยู่เข้าใจว่าแปลงเพศเป็นผู้ชายเสร็จแล้วก็ให้ฮอร์โมนเพศชายมากๆ ถึงมีหนวด มีเครา แต่อวัยวะภายในเพศหญิงยังอยู่ยังไม่ตัด


ส่วนกรณีที่ผู้ชายอยากอุ้มท้อง น.พ.พันธ์ศักดิ์ บอกว่า ก็สามารถทำได้เป็นกรณีพิเศษ คือ นำอสุจิของผู้ชายแท้ ไปผสมกับไข่ของผู้หญิง โดยผสมข้างนอกที่เรียกว่าเด็กหลอดแก้ว เสร็จแล้วไม่มีมดลูกจะฝังก็จะเจาะท้องฝังไว้ที่พังผืดที่เรียกว่าไขมัน เพราะพวกนี้จะมีเลือดมาเลี้ยงมาก แต่ระหว่างที่มันโตขึ้นก็ต้องรู้ถุงที่เลี้ยงเด็กไม่มีกล้ามเนื้อมดลูกแข็งๆ มาปกป้องไว้เวลาท้องอาจจะแตกได้ เวลาแตกก็จะตกเลือดในท้องซึ่งอันตรายอาจตายได้ ถือว่าทฤษฎีเป็นไปได้ แต่ความเป็นจริงคงไม่มีใครกล้าทำ การเอารังไข่ไปฝังในตัวผู้ชายก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะสเปิมเข้าไปเจอไม่ได้ เนื่องจากธรรมชาติผู้หญิงช่องคลอดจะต่อกับมดลูก จะมีท่อนำไข่ยื่นยาวไปเจอรังไข่ ทุกเดือนรังไข่ก็จะตกไปยังท่อนำไข่ เวลามีเพศสัมพันธ์ตัวอสุจิจะว่ายผ่านมดลูกไปเจอกันที่ท่อนำไข่ เมื่อปฎิสนธิแล้วจะย้อนกลับไปฝังในมดลูก ถ้าเป็นผู้ชายเอารังไข่ฝังเข้าไปก็แค่ทำให้มีฮอร์โมนเพศหญิงไข่ตกเท่านั้นท้องไม่ได้ ต้องมาผสมข้างนอก ซึ่งผู้ชายแท้ตั้งท้องแพทย์ก็คงไม่แนะนำ ถ้าทำให้ไม่เมาก็บ้า

ส่วนเรื่องเสียงวิจารณ์เรื่องความเหมาะสม น.พ.พัน.ธ์ศักดิ์ กล่าวว่า เทคโนลียีมันทำได้ เวลาตัดสินใจอะไรจะมองว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่ละคนมองคนละมุม ถ้าคนมองอีกมุมก็จะมองว่าก็โทมัสแปลงเพศเป็นผู้ชายแล้วทำไมอยากจะมีลูกอีก แต่ถ้ามองแบบเห็นอกเห็นใจกันคู่นี้มีลูกไม่ได้ เพราะฝ่ายหญิงคือแนนซี มีปัญหาต้องตัดมดลูกทิ้ง เมื่อโทมัสมีมดลูกอยู่ตัวเองตั้งท้องก็สามารถทำได้ แต่ท้ายที่สุดถ้าไม่ผิดศีลธรรมจรรยาและไม่ได้ผิดกฎหมายแล้วคนที่ทำ ทำเพราะรู้ ไม่ถูกหลอกก็เป็นสิทธิของเขาตามรัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆ สำหรับกรณีทองกับดี้ ถ้าจะท้องก็สามารถไปให้แพทย์ดำเนินการได้ตามปกติ ในส่วนของต่างประเทศจะแจ้งจดทะเบียนให้พ่อคือคนเป็นทอม แต่กรณีของประเทศไทยยังทำไม่ได้ ถ้าเด็กเกิดมาจะไม่มีพ่อมีแต่แม่อย่างเดียว ในต่างประเทศจะมีผู้หญิงโสดตั้งท้องโดยใช้ชื่อญาติ เช่น พี่ชาย เป็นพ่อ

ขอขอบคุณข่าวจาก

๙/๖/๕๑

ขอเชิญเข้าร่วมงานเสวนาเรื่อง " ฝ่าวิกฤติชีวิตพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว"

ในวันที่ 12 มิถุนายน 2551 นี้ จะมีการจัดเสวนาเรื่อง " ฝ่าวิกฤติชีวิตพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว" ขึ้น ณ ลานกิจกรรม ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง ทางมูลนิธิเครือข่ายครอบครัวจึงขอเรียนเชิญท่านที่สนใจ เข้าร่วมงานเสวนา สามารถโทรมาแจ้งชื่อได้ที่ มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว โทร 02-9542346-7 ติดต่อคุณพัชรี

-----------------------------------------------------------

กำหนดการงานเสวนา "ฝ่าวิกฤติชีวิตพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว"


วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน 2551

ลานกิจกรรม ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง


----- เวลา -------------------------- กิจกรรรม ---------------------

12.30 - 13.00 น. ลงทะเบียนผู้เข้าร่วม, ประชาสัมพันธ์กิจกรรม

13.00 -13.15 น. นำเสนอวีดีทัศน์

13.15 -14.30 น. เสวนา "ฝ่าวิกฤติชีวิตครอบครัว เลี้ยงเดี่ยว"


ผู้ร่วมเสวนา

  • แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ (ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 13 กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข)
  • คุณทนงศักดิ์ ศุภการ (ดารานักแสดง)
  • คุณภรผกา เสียงสมบุญ (ดารานักแสดง)

ประเด็นการเสวนา

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์


ประเด็น
สะท้อนวิกฤติของครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว คืออะไร ปัญหาของครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวในการเข้าใจตนเอง การจัดการกับตัวเอง ทางออก ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวต้องเรียนรู้อะไร กระบวนการ กิจกรรม กิจกรรมห้องเรียนพ่อแม่มีประโยชน์อย่างไร กลุ่มช่วยเหลือเกื้อกูล มีประโยชน์อย่างไร และจะได้อะไรจากการเข้าร่วมกิจกรรม


คุณทะนงศักดิ์ ศุภการ


ประเด็น เมื่อถึงคราวที่ต้องเลี้ยงเดี่ยว เตรียมตัว เตรียมจิตใจ อย่างไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตนเอง และลูก ครอบครัว ฝ่าวิกฤตได้อย่างไร มีใครคอยช่วยเหลือสนับสนุนบ้าง ( แหล่ง Support ) เมื่อต้องเลี้ยงเดี่ยวมีวิธีคิด และทัศนคติต่อครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวอย่างไร


คุณพรผกา เสียงสมบูรณ์


ประเด็น เมื่อถึงคราวที่ต้องแยกทางกัน ผลกระทบที่ตามมาคืออะไร มีการจัดการกับผลกระทบนั้น

อย่างไรและวิธีการดูแลจิตใจตัวเอง ดูแลลูก (แหล่ง Support ) และเมื่อต้องเลี้ยงเดี่ยวมีวิธีคิด ทัศนคติในการใช้ชีวิตอย่างไร และวิธีการดูแลลูก



ฝ่ายพัฒนาสังคม มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว
192 ซ.8 ถ.เทศบาลนิมิตเหนือ ลาดยาว
จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
Tel: 0-2954-2346-7
Fax: 0-2954-2348
Website:
http://www.familynetwork.or.th/
Email:
fammovement@gmail.com

๒/๖/๕๑

วันนี้ คนไทยรู้จัก “วันดื่มนมโลก” แล้วหรือยัง!

จากประโยคคุ้นๆที่ว่า “ดื่มนมเยอะๆ ตัวจะได้สูงๆ” แต่ในความเป็นจริงแล้ว “นม” ไม่ได้ให้คุณประโยชน์แค่ความสูงสำหรับเด็กๆ เท่านั้น “นม” ยังเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ให้คุณประโยชน์สำหรับทุกเพศทุกวัย คุณค่าของ “นม” มีมากมายและมีความสำคัญสำหรับผู้คนทั่วโลก โดยมีการกำหนดให้เป็นวันสากลของการดื่มนมระดับโลกเลยทีเดียว

องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ หรือ The Food and Agriculture Organization หรือ FAO กำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปี เป็น “วันดื่มนมโลก (World Milk Day) เพื่อให้ประเทศต่างๆ และองค์กรที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนการบริโภคนม ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์และกระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการบริโภคนม ด้วยการให้ความรู้และคุณประโยชน์ของนมให้แก่ประชาชน โดยปัจจุบันมีมากกว่า 35 ประเทศทั่วโลกที่ได้มีการจัดกิจกรรมวันดื่มนมโลก เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย เวียดนาม อังกฤษ ออสเตรเลีย สวีเดน เดนมาร์ก เป็นต้น

สำหรับในประเทศไทย กิจกรรม “วันดื่มนมโลก” ได้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในปีนี้ โดยบริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ไทย) จำกัด บริษัทผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ในกระบวนการผลิตและบรรจุอาหาร รวมถึงบรรจุภัณฑ์แบบปลอดเชื้อ หรือกล่องยูเอชที ร่วมกับมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และบริษัทผู้ผลิตนมพร้อมดื่มในประเทศไทย จัดกิจกรรมเผยแพร่เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของบริโภคนม เพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริโภคนมเพื่อช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และในปีนี้ กิจกรรม “วันดื่มนมโลก” จะจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ค. 2551 ณ บริเวณลานด้านหน้า สยามดิสคัฟเวอรี่ เซ็นเตอร์ ตั้งแต่เวลา 11.00 น. เป็นต้นไป

นางกลอยตา ณ ถลาง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ ทั่วโลก พบว่า ในปี พ.ศ. 2550 มีการบริโภคประมาณ 242,000 ล้านลิตร สำหรับประเทศในแถบเอเชีย โดยเฉพาะประเทศอินเดียและจีน มีอัตราการบริโภคนมที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในอินเดียมีอัตราการบริโภคนมในปี พ.ศ. 2550 ประมาณ 5 หมื่นล้านลิตร สูงเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2549 ประมาณ 1.4 พันล้านลิตร ส่วนประเทศจีน มีอัตราการบริโภคประมาณหนึ่งหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยล้านลิตรเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2549 ประมาณ 1.5 พันล้านลิตร ในขณะที่ญี่ปุ่นมีอัตราการบริโภคมากกว่า 6 พันล้านลิตรในปี พ.ศ. 2550

สำหรับในประเทศไทย อัตราการบริโภคนมยังค่อนข้างน้อย โดยมีปริมาณการบริโภคนมโดยรวมเพียง 1,600 ล้านลิตร โดยแบ่งเป็นการบริโภคนมยูเอชทีเฉลี่ย 10 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งทำให้คนไทยส่วนใหญ่ประสบกับปัญหาขาดแคลเซียม และส่งผลให้ต้องเผชิญกับภาวะโรคกระดูกพรุน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อยู่ในวัยทำงานและผู้สูงอายุ

“นม” เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแท้จริง มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ (International Osteoporosis Foundation หรือ IOF) ระบุว่า นมและผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆ เป็นอาหารพร้อมบริโภคที่หาได้ง่าย จัดอยู่ในกลุ่มอาหารที่มีแร่ธาตุแคลเซียมสูงที่สุด ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง โดยเป็นแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีที่สุด

และยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะให้ทั้งโปรตีนและเกลือแร่ที่สำคัญ เช่น ฟอสฟอรัส คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และวิตามิน นมช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง การสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกตั้งแต่อายุยังน้อยๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกแตกหักได้ง่ายเมื่ออายุมากขึ้น เพราะเมื่ออายุ 35 ขึ้นไป ร่างกายของคนเราจะค่อยๆ เริ่มสูญเสียกระดูกมากกว่าที่จะสร้างกระดูก วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยรักษากระดูก และเกิดการสูญเสียกระดูกน้อยที่สุด ก็คือ การดื่มนมเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอป้องกันความดันโลหิตสูง


จากการศึกษาพบว่า ธาตุอาหารใน “นม” ทั้งโปรแตสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ล้วนมีส่วนช่วยไม่ให้ความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติ เพื่อสุขภาพฟันที่ดี โดยปกติเนื้อฟันมีสารเคลือบที่ถือเป็นส่วนที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายของคนเรา ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียม ฟันจึงต้องการแคลเซียมเพื่อช่วยเสริมสร้างให้ฟันแข็งแรงมีสุขภาพดี นมอุดมด้วยแคลเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อฟัน มีโปรตีนที่ช่วยให้ฟันเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยเคลือบผิวฟันอีกด้วย ช่วยคุมน้ำหนัก หลายๆ คนหลีกเลี่ยงไม่ดื่มนมเพราะเชื่อว่า นมทำให้อ้วน แต่จริงแล้วๆ ไม่ว่าจะเป็นนมสด นมพร่องไขมัน หรือนมไม่มีไขมัน มีปริมาณไขมันแค่เพียง 3.9%, 1.7%, และ 0.3% เท่านั้น

“นม” เป็นเครื่องดื่มที่มอบความสดชื่นไม่แตกต่างจากน้ำดื่ม การดื่มนมเพียงหนึ่งหรือสองแก้วจะช่วยทำให้รู้สึกสดชื่น และยังทำให้ได้รับคุณค่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการอีกด้วย นม 1 กล่อง กับทุกคุณค่าของสารอาหารที่ร่างกายต้องการ แคลเซียม สร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟันวิตามินบี 12 ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงคาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานกับร่างกายแมกนีเซียม สร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อฟอสฟอรัส สร้างพลังงานให้กับเซลล์ในร่างกาย และทำให้กระดูกแข็งแรงโปรแตสเซียม ช่วยรักษาระดับความดันเลือดให้เป็นปกติโปรตีน สร้างเสริมการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอวิตามินบี 2 ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดีเหล็ก ช่วยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย


ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่คุณประโยชน์ของนมที่รู้กันทั่วไป และถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องกระตุ้นเตือนให้คนไทยทุกเพศทุกวัยหันมาบริโภคนมกันให้มากขึ้น

วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง???

ข้อมูลดีดีจาก

ข่าวรณรงค์

ช่วยกันลดมลพิษคนละนิด ลดการใช้โฟมและถุงพลาสติก ปิดเครื่องไฟฟ้าหลังใช้งานทุกครั้ง

ความคิดเห็นล่าสุด