ฟังรายการสถานีวิทยุศึกษา FM 92 MHz.



ครอบครัวข่าวสาร





มาร่วมคุยกันดีกว่า

๒๘/๑๑/๕๑

14 สไตล์มรณะ ปัจจัยเสี่ยง"มะเร็ง"


มะเร็ง ร้ายคอยแทรกตัวเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อเกาะไปกับกระแสเลือดให้พามันไปฝังตัว ตามอวัยวะสำคัญของร่างกายทุกที่ที่เลือดไปเลี้ยงถึงเซลล์ มะเร็งเป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสาร อาหารจากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด แต่ ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอยแห่งมะเร็งไว้แข่งกับ บาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูดมะเร็งชั้นดี ขอให้เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้ครับ

1) นอนดึก ทำ ให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่นได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน ด้วยว่าเมื่อนอนดึกแล้วมักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน

2) คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แม้จะสูบซิการ์ซึ่งมีนิโคตินต่ำกว่าบุหรี่ก็ตามที หรือดื่มเหล้าแบบกลั่นอย่างดีของฝรั่ง แต่ตัวมันเองก็สร้าง "สนิมมะเร็ง" ออกมาไม่น้อย ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็งครับ

3) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะ ใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือดอัน สมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอาๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไวไม่มีลิมิตชีวิตหดหู่แน่

4) แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ดังที่กล่าวไปว่าถ้าภูมิดีก็มีพลังต้านมะเร็งได้ตั้งแต่ในเซลล์แรกที่อุตริ เกิดขึ้นมา ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็งนี้เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน

6) ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7) ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8) กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10) ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำ ปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไร กับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11) ปะทะเค็มจัด พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ

13) ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมด ครับ เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

14) ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้าคือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึก ถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ "อยาก" อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี "สารสุข" หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ

ด้วยวิถีแห่งการมี "ไลฟสไตล์มรณะ" ทั้ง 14 ประการดังที่ได้กล่าวไปก็จะทำให้ได้มะเร็งมาเป็นเจ้าของอย่างง่ายดาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก YENTA4.COM

๑๘/๑๑/๕๑

บำบัดป่วยด้วยหนังสือ



นับตั้งแต่ส่งลูกชายเข้าเรียนในชั้นอนุบาลจนถึง ป.2 ผลการเรียนของลูกอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าเพื่อนๆมาตลอด และดูเหมือนว่าลูกจะไม่ยอมรับรู้ใดๆ คุณแม่จึงย้ายโรงเรียนใหม่ให้ลูกเพราะคิดว่าวิธีการสอนของครูคนใหม่จะทำให้ ลูกเข้าใจบทเรียนมากขึ้น แต่จนแล้วจนรอดลูกก็ยังอ่านหนังสือไม่คล่อง แถมมีพฤติกรรมก้าวร้าว และเก็บกดในบางครั้ง

หลังจากพูดคุยกับผู้ ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ชาญวิทย์ พรนภดล สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นเวลานานพอสมควร คุณแม่จึงทราบว่า ลูกชายมีอาการ LD ( Leaning disorder) แต่เป็น LD ประเภท ภาวะการอ่านบกพร่อง(Dyslexia) หรือ บอดศัพท์ (word blindness)ทฤษฏีสมรรถภาพสมองสมอง

เป็นส่วนสำคัญต่อการอ่าน และสมองต้องทำงานประสานกันหลายส่วนจึงทำให้เกิดการอ่านและแปลความหมายได้ ซึ่งสรุปเป็นการกระบวนการได้ 2 ส่วน คือ

  1. กระบวนการทางกายภาพ ได้แก่ วิธีการใช้สายตาและการใช้มือประกอบกันเพื่อให้เกิดการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. กระบวนการทางสมองและระบบประสาทภายในร่างกายของคนเรา เพื่อส่งต่อในสิ่งที่ได้รับรู้เข้าไปบันทึกเก็บไว้ในเซลล์สมองให้มากที่สุด

จึงพอสรุปโครงสร้างของสมองที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการอ่านได้ดังนี้สมองแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ คือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง โดยเริ่มต้น

  • สมองส่วนหน้า (forebrain) ซึ่งประกอบด้วยสมองหลายส่วน เช่น ซีรีบรัม ทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็น เช่น ตัวหนังสือ วัตถุ สีขนาด มีนิวโรนเฉพาะสำหรับรับแสงที่ตกลงบนจอภาพของตา (retina) ในแต่ละมุม นอกจากนี้สมองส่วนนี้ยังทำหน้าที่รับรู้ (perception) อย่างซับซ้อน ที่สำคัญคือ ทำหน้าที่เข้าใจความหมายของภาษาที่ได้ยินหรือที่ใช้พูดกัน รวมถึงการเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆที่เราได้อ่านและลูบคลำ
  • สมองส่วนกลาง (midbrain) เป็นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองส่วนหน้าและสมองส่วนหลัง นอกจากนี้ บางส่วนของสมองจะทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับประสาทตาและประสาทหูด้วย
  • สมองส่วนหลัง (hindbrain) มีใยประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองส่วนต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้อย่างเป็นระบบ

หากสมองทำงานผิดปกติเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งจะเกิดผลเสียคือ" จะทำให้กระบวนการอ่านของเด็กเสียทั้งหมด เช่น บางคนบกพร่องเรื่องการรับภาพ เห็นตัวอักษรในลักษณะที่บิดเบือนไป ยกตัวอย่างเช่น เห็นตัวงองูกลับด้าน เหมือนเวลาเราดูภาพจากกระจกเงา หรือ สมองด้านภาษาบกพร่อง เขาจะไม่สามารถ แปลงสัญลักษณ์หรือภาพที่เขาเห็นเชื่อมโยงกับเสียงได้ เช่น เห็นตัว มอม้าแต่ไม่สามารถออกเสียงได้ เปรียบเทียบกับคนไทยที่ไปเมืองจีนแล้วเห็นอักษรจีน เราก็ไม่รู้ว่าจะออกเสียงอย่างไร เด็กกลุ่มนี้จะถูกครูและพ่อแม่เข้าใจผิดว่าขี้เกียจ ให้อ่านหนังสือก็ไม่อ่าน แต่จริงๆ เขาอ่านไม่ได้ ซึ่งพอโตขึ้น เด็กจะเริ่มเบื่อหน่ายการเรียน จะถอดใจว่าเพราะรู้สึกว่าการเรียนยาก ยิ่งเด็กโดนดุ ถูกคาดโทษจากพ่อแม่หรือคุณครู เด็กจะมีความกังวล และมองตัวเองไม่มีคุณค่า ในที่สุด เด็กผู้หญิงจะมีอาการซึมเศร้า ส่วนเด็กผู้ชายจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง"

คุณหมอแนะนำว่า ผู้ปกครองควรมีเวลาให้เด็กมากขึ้น และฝึกให้เด็กอ่านตัวอักษรที่อ่านไม่ออก โดยการทำตัวอักษรเป็นตัวนูนแล้วใช้มือสัมผัสไปด้วยขณะอ่าน เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ และเพื่อให้เด็กสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติเหมือนคนทั่วๆไปการอ่านช่วยกระตุ้นสมอง"

อ่านหนังสือให้ลูกฟังจึงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาพูด และภาษาอ่านได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ เนื้อหาในเรื่องที่เล่านั้น เป็นความดี ความจริง ความรู้ ซึ่งจะส่งผ่านเข้ามาถึงตัวเด็กได้ แต่ที่สำคัญมากกว่านั้น ความผูกพันของแม่และลูก ขณะที่ลูกนั่งอยู่บนตักแม่ แม่เล่านิทานอ่านหนังสือให้ลูกฟัง การกอดรัดสัมผัสของแม่ที่มีต่อลูกส่งผลให้เกิดการหลั่งของ โกร้ธฮอร์โมน และ เนิร์บโกร้ธ แฟคเตอร์ ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้มีผลต่อการเจริญเติบโตของสมองมนุษย์มากทีเดียว นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลูกได้รับประโยชน์จากการอ่านที่แม้ไม่ได้ทำให้ ลูกแข็งแรงโดยตรงแต่ทำให้ลูกมีสมองและจิตใจที่แข็งแรง มีความสุข"…

เมื่อเด็กเริ่มหัดอ่าน แนวความสนใจจะเป็นไปตามรายบุคคล ทั้งปริมาณที่อ่านได้และประเภทของหนังสือที่อ่าน ในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคลในการอ่าน ด้วย ซึ่งแนวความสนใจพอจะสรุปได้ดังนี้

  • ก่อนอายุ 5 ปี เด็กชอบเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ประจำวันที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เรื่อง สัตว์ ธรรมชาติ โคลงกลอน และนิทานภาพประกอบ เด็กอายุ 3-5 ปี ชอบให้ผู้ใหญ่อ่านการ์ตูนให้ฟัง
  • อายุ 6 ปีขึ้นไป เด็กเริ่มอ่านหนังสือตามที่ตนต้องการและเป็นดังนี้เรื่อยไปจนถึงชั้นประถม ศึกษาตอนต้น เด็กจะชอบเรื่องลึกลับ เรื่องคาดไม่ถึง เด็กชายชอบเรื่องสัตว์ เด็กหญิงชอบเรื่องเกี่ยวกับเด็กและประสบการณ์ของตน
  • อายุ9-11 ปี เด็กชอบเรื่องการผจญภัย เรื่องชีวิตของสัตว์ ชอบเรื่องความมีน้ำใจนักกีฬา ความกล้าหาญ ประดิษฐ์กรรมต่างๆ
  • อายุ 12-13 ปี เพิ่มความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ บุคคล ธรรมชาติ เด็กหญิงจะชอบนิยาย
  • อายุ 14 ปี ระยะนี้เข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัว ความสนใจจะเพ่งไปในแนวใดแนวหนึ่ง ระยะนี้อาจอ่านหนังสือน้อยลง แต่จะชอบอ่านนิตยสารมากขึ้น เด็กหญิงชอบหนังสือสำหรับผู้ใหญ่มากขึ้น ชอบเรื่องรักใคร่สะเทือนอารมณ์ (ระยะนี้ควรให้คำแนะนำในการอ่านมากที่สุด)
  • อายุ 15 ปี ตอนนี้ความทุ่มเทในการอ่านผ่านไปแล้ว แต่ละคนเริ่มอ่านหนังสือตามแนวต้องการของโรงเรียนและสังคม เด็กชายมักชอบการทดลอง วิทยาศาสตร์ เด็กหญิงมักชอบนิยาย
  • อายุ16-17 ปี ความสนใจในการอ่านค่อยเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จะมีความสนใจ ความต้องการรสนิยมส่วนตัว สนใจเรื่องของโลกและปัญหาสังคมต่างๆ

หนังสือโอสถเยียวยาใจ"

การอ่านหนังสือจะทำให้ผู้อ่านพบว่า ความไม่แน่ใจของตน ความทุกข์โศก และความผิดหวัง มิได้เกิดขึ้นกับตนเองแต่เพียงผู้เดียว บุคคลอื่นๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดต่างก็มีประสบการณ์เช่นเดียวตน เขาจะรู้สึกโล่งอกเมื่อปัญหาที่ทำให้ตนเองต้องแยกตัวออกจากสังคมสู่โลกเปล่า เปลี่ยวแห่งความผิดหวัง ความข้องคับใจ ความทุกข์โศกหรือความสงสัย ถูกขจัดให้หมดไป ภายหลังจากการอ่านหนังสือ"

ความมหัศจรรย์จากการอ่าน นั้นไม่เพียงเกิดเฉพาะกับเด็ก และวัยทำงานที่ต้องการทั้งหาความรู้ ผ่อนคลายจิตใจ ตลอดจนสร้างกำลังใจให้ตัวเองเท่านั้น สำหรับผู้สูงอายุ หนังสือก็เป็นยาอีกขนานหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานด้วยความกระชุ่ม กระชวยได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยอัลไซเมอร์"

อย่างที่รู้กันว่า สมองสามารถงอกใหม่ได้ การอ่านหนังสือก็ช่วยทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น คนที่เป็นโรคสมองเสื่อมนั้น สิ่งที่คนไข้ต้องทำคือ การอ่าน เพราะทำให้เกิดความจำ และสมองได้ทำงาน เมื่อใดสมองได้ทำงาน กลไกต่างๆในสมองจะทำงานดีขึ้น ผู้ที่ยังไม่ป่วยก็จะช่วยป้องกันได้ ส่วนผู้ป่วยการอ่านจะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนหนังสือที่ใช้สำหรับอ่านไม่จำเป็นต้องระบุว่าเป็นหนังสืออะไร ขอเพียงแต่เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาไม่เลวร้าย เป็นหนังสือที่เราชอบและมีคุณค่าก็พอ"

"ดังนั้นยิ่งอ่านมาก เซลล์สมองได้ทำงานมาก เปรียบเทียบกับกล้ามเนื้อยิ่งใช้งานมาก ยิ่งแข็งแรง แต่ถ้าไม่ใช้งาน ไม่อ่านไม่คิดตาม มันจะฝ่อ แต่ถ้าใช้บ่อยๆ ก็จะแข็งแรง และจะมีบางส่วนที่งอกออกมา เกิดวงจรใหม่ๆ ขึ้นมา"

ความมหัศจรรย์ของหนังสือยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หนังสือยังเป็นยาแก้ไข้ บรรเทาปวดให้กับเด็กป่วยเรื้อรังได้อีกด้วย"

จากประสบการณ์ที่สอนเด็กป่วยในโรงพยาบาลจุฬา เพื่อให้เด็กเรียนทันเพื่อนในชั้นเรียน เด็กๆ ที่ป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคหัวใจ และโรคเลือด เด็กกลุ่มนี้จะไม่สามารถลุกออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้มากนัก เพราะสภาพร่างกายไม่แข็งแรง เขาจะนอนอยู่บนเตียง ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเบื่อ และบางทีทำให้มีอาการเครียด กิจกรรมที่เรามักให้ทำคือ การอ่านหนังสือ ซึ่งช่วยคลายความเครียดความวิตกกังวลได้ แต่หนังสือที่ให้เขาอ่านต้องเป็นหนังสือที่เขาสนใจ เด็กบางคนชอบการ์ตูน เขาจะอ่านจนเพลินลืมนอน จนเราต้องบอกให้นอนพัก แต่เด็กบางคนชอบการทดลอง ชอบวิทยาศาสตร์ เราก็จะจัดหนังสือกลุ่มนี้ให้ เขาจะซักถามว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องการให้ครูช่วยอธิบาย"

"แต่ที่เห็นค่อนข้างชัดเจนคือ เด็กบางคนที่เริ่มบ่นว่าปวดหัว มึนหัว เราก็จะหาหนังสือให้อ่าน ซึ่ง เมื่อได้อ่านหนังสือที่ชอบเขาก็ลืมอาการป่วย ถามอีกที ก็บอกครูว่า ผมหายแล้ว หนูหายแล้ว ซึ่งหนังสือช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้จิตใจผ่อนคลาย บางทีทำให้อาการป่วยทางร่างกายทุเลาได้ แต่ในบางกรณีที่ปวดมากๆ หนังสือก็ไม่สามารถช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้เหมือนกัน""และที่สำคัญมากคือ ต้องรู้ว่าเด็กชอบและสนใจหนังสืออะไร"

ขอขอบคุณสาระดีๆ จาก หนังสือชีวจิต ฉบับที่ 214

๑๐/๑๑/๕๑

แค่เดือนเดียว เด็กหาย 29 คน กลุ่มเสี่ยงเพศหญิง

ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เผยสถิติเด็กหายช่วงปิดเทอมมีจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี กลุ่มเสี่ยงเป็นเด็กหญิงอายุ 11 - 15 ปี มักจะถูกล่อลวงทางเพศ สาเหตุมีเวลาว่างเล่นอินเทอร์เน็ตแล้วหายตัวไปกับคนแปลกหน้า บางคนน้อยใจพ่อแม่หนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตเร่ร่อน

นางสาวธิติมา หมีปาน หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยว่า จากการรับแจ้งและประสานงานติดตามคนหายในเขตกรุงเทพมหานครในเดือนตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคเรียน พบว่ามีเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี สูญหายจำนวน 29 ราย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงอายุ 11-15 ปี ตกเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะหายตัวออกจากบ้านมากที่สุด โดยสาเหตุของการหายตัวไปของเด็กกลุ่มนี้คือ การถูกล่อลวงทางเพศ หลังจากมีเวลาว่างช่วงปิดเทอมและทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เรียนพิเศษ ทำงานพิเศษ เที่ยวต่างจังหวัด โดยเฉพาะการเล่นอินเทอร์เน็ตพูดคุยและพบปะกับคนแปลกหน้าจึงถูกหลอกและลักพาตัวไปในที่สุด

หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า สถิติตัวเลขเด็กหายช่วงปิดเทอมมีจำนวนเพิ่มขึ้นแทบทุกปี เมื่อวิเคราะห์สาเหตุแล้วจะเห็นว่า กิจกรรมที่เด็กทำในช่วงปิดเทอมแม้จะก่อให้เกิดคุณประโยชน์ แต่ก็แฝงไว้ด้วยภัยเงียบ เพราะกิจกรรมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ทำให้เด็กได้มีโอกาสสานสัมพันธ์กับบุคคลภายนอก อีกทั้งเด็กสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารได้ง่ายขึ้นทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ จึงทำให้เด็กรู้สึกผูกติดกับสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องเกมออนไลน์และโปรแกรมไฮไฟว์ เป็นต้น

"ปัญหาเกิดขึ้นจากเด็กใช้เวลาว่างอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วสร้างโลกส่วนตัวด้วยการพูดคุยกับคนแปลกหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่ไม่ดูแลเอาใจใส่ ปล่อยให้เกมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เมื่อพ่อแม่บังคับไม่ให้เล่น เด็กจึงเลือกวิธีหายตัวออกจากบ้านเพื่อที่จะได้มีอิสระในการเล่นเกมและไม่ต้องฟังเสียงบ่นหรือโดนบังคับอีก เด็กบางคนอายุแค่ 9 ขวบ ก็หนีออกจากบ้าน เพราะน้อยใจที่ถูกพ่อแม่ตำหนิเรื่องการเรียน" น.ส.ธิติมากล่าว

เธอเล่าว่า เมื่อเด็กกลุ่มนี้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ทำให้พัฒนากลายเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่ตามสนามหลวงและหัวลำโพง และต้องนั่งขอเงินหรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อหาเงินมายังชีพ แต่ด้วยวัยของเด็กแล้วอาจไม่สามารถทำงานที่สุจริตได้ จึงทำให้เด็กเลือกที่จะก่ออาชญากรรมแทน ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เด็กเปลี่ยนจากเด็กเร่ร่อนกลายมาเป็นอาชญากรเด็กหรืออาชญากรรุ่นเยาว์แทน น.ส.ธิติมาบอกอีกด้วยว่า เด็กผู้หญิงบางส่วนที่ตามหาตัวพบแล้ว เมื่อตรวจสอบพบว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนแปลกหน้าทั้งที่มีอายุมากกว่าและใกล้เคียงกันก็มี ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีเด็กหายออกจากบ้านหรืออาชญากรเด็กขึ้นมา ทางครอบครัวควรมีการเตรียมการรับมือในช่วงก่อนเปิดเทอม อาทิเช่น การหากิจกรรมเพื่อมาดึงเด็กออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจากกิจกรรมที่เด็กกำลังหมกหมุ่นอยู่ ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้อบอุ่นอีกด้วย

ทั้งนี้ สถิติคนหายทั่วทั้งประเทศไทยนับตั้งแต่ปีเดือนตุลาคม 2546 ถึงปัจจุบัน ทางมูลนิธิฯ ได้รับแจ้งเหตุการณ์หายตัวไปของคนในสังคมเป็นจำนวน 1,162 ราย แยกเป็นเพศชายจำนวน 397 ราย เพศหญิงจำนวน 765 ราย และจากจำนวนนี้มีผู้สูญหายอายุไม่เกิน 18 ปีมีจำนวน 699 ราย แบ่งเป็นเพศชาย 135 ราย เพศหญิง 564 ราย ช่วงอายุที่หายตัวไปมากที่สุดคือ 11 - 15 ปีจำนวน 339 ราย ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากการถูกล่อลวงเพื่อทางเพศ

น.ส.ธิติมา กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลคนหายขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขอพื้นที่สำหรับประชาสัมพันธ์รูปภาพติดตามเด็กหายตามสื่อมวลชนทุกแขนง พร้อมขอความร่วมมือประกาศเตือนภัยเด็กหายตามสถานที่เสี่ยงภัย การสืบเสาะหาหลักฐานของคนร้าย หรือการติดตามหาเด็กอย่างเร่งด่วน ตลอดจนขอให้ประชาชนที่พบเห็นเบาะแสหรือเหตุการณ์ที่น่าสงสัย กรุณาแจ้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน หากผู้ใดพบเห็นหรือรู้เบาะแสเด็กถูกลักพาตัว สามารถโทร.แจ้งได้ที่ โทร.0-2642-7991 ต่อ 11
ขอขอบคุณข่าวจาก

ข่าวรณรงค์

ช่วยกันลดมลพิษคนละนิด ลดการใช้โฟมและถุงพลาสติก ปิดเครื่องไฟฟ้าหลังใช้งานทุกครั้ง

ความคิดเห็นล่าสุด