ฟังรายการสถานีวิทยุศึกษา FM 92 MHz.



ครอบครัวข่าวสาร





มาร่วมคุยกันดีกว่า

๑๖/๑๒/๕๑

5 ย. ไม่ยาก เพื่อรักยืนยง

ชีวิตคู่ที่มั่นคง อบอุ่นไปด้วยความรักความเข้าใจ เป็นแหล่งพลังกายและพลังใจอันสำคัญให้เรายืนหยัดอยู่ได้อย่างมีความสุข ด้วยหลักการง่ายๆ คือ ยกย่อง ยินยอม ยืดหยุ่น แยกแยะ และยืนหยัด
ปัจจุบันในสภาวะสภาพแวดล้อมที่การดำเนินชีวิตนั้นยากลำบากกว่าในอดีต ครอบครัวที่มั่นคงเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเข้าใจ เป็นเสมือนขุมพลังหล่อเลี้ยงและสร้างแรงใจให้เราสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่าง มีความสุขและมีความหวังเพื่ออนาคต ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ของชีวิตคู่ยุคใหม่หลักการ "5" ย. จึงเป็นหลักเบื้องต้นของครอบครัว

ยกย่อง
สำหรับคู่ชีวิตการยกย่องให้เกียรติกันและกันมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ การรู้จักยกย่องคู่ชีวิตบนพื้นฐาน ของข้อเท็จจริงทั้งต่อหน้าและลับหลังนั้นจะทำให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่าง ราบรื่นไม่มีปัญหา แม้ไม่รู้ว่าจะใช้วาจาพูดยกย่องอย่างไร เบื้องต้นคือต้องไม่นำเอาสามีหรือภรรยาไปพูดคุยอย่างสนุกปาก เพราะหากใครได้ยินจะเข้าใจว่าสามีภรรยาคู่นี้ไม่ให้เกียรติกันและกัน

ยินยอม
รู้จักยินยอม เออออ ตามใจอีกฝ่ายหนึ่งบ้าง เพราะคน 2 คนที่มาจากที่ต่างกัน แล้วมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ย่อมมีสักครั้งหรือหลายครั้งที่มีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน ในขณะที่การอยู่ร่วมกันนั้นมีหลายเรื่องที่ทั้งคู่จำเป็นต้องตัดสินใจร่วมกัน ถ้าต่างคนต่างถือเหตุผลของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่มีใครยอมใคร มุ่งแต่จะเอาชนะ ชีวิตคู่แบบนี้คงอยู่กันไม่ยืด

ยืดหยุ่น

ในการใช้ชีวิตคู่ ยิ่งอยู่ด้วยกันนาน ยิ่งรู้จักกันมากขึ้น และมีเรื่องราวต่างๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตกันและกันมากขึ้น ตอนอยู่กันใหม่ๆ อะไรๆ ก็พอทนได้พออยู่นานเข้าที่เคยทนได้ ก็เริ่มจะทนไม่ได้รับไม่ได้ขึ้นมา เพราะเจอเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก ความจริงชีวิตคู่ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งต้องมีการยึดหยุ่นให้แก่กันและกันมากกว่า รักกันแรกๆ ต้องรู้จักประนีประนอมยอมความและผ่อนปรน

แยกแยะ

การ ใช้ชีวิตทั้งในส่วนที่เป็นชีวิตส่วนตัวและชีวิตคู่ มักมีเรื่องราวต่างมาปะปนจนแยกไม่ออก ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยนั่นนิดนี่หน่อยปะปนกันก็ยังพอมองข้าม แต่บางเรื่องเป็นเรื่องที่ปนกันไม่ได้ เช่น เรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวบางคนหงุดหงิดจากที่ทำงานกลับมาบ้านพาลหงุดหงิด กับภรรยาที่บ้านหรือมีปัญหาที่บ้านแล้วไปโวยวายกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง อาจส่งผลให้เกิดปัญหาได้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ภรรยาบางคนโทรเช็คสามีตลอดวันเป็นการรบกวนสมาธิในการทำงานแทนที่จะซาบซึ้ง ว่ารักและห่วงใยอาจทนไม่ไหวต้องแยกทางกัน

ยืนหยัด
ไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้นก็ตาม กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความปรารถนาที่จะมีความสุขสดชื่นตลอดไปในชีวิตคู่ต้องมีใจที่จะยืนหยัด ต่อสู้ด้วยกันจะสุขจะทุกข์ก็ต้องร่วมกันฟันฝ่า ใครท้อแท้หรือล้มลงก็ต้องช่วยดึงกันให้ลุกขึ้นยืนใหม่อย่างมั่นคงเข้มแข็ง ให้ได้ เพราะความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมสร้างได้จากความรัก ความเข้าใจ และไว้ใจซึ่งกันและกัน รักนั้นจึงจะยืนยาว


ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก

๑/๑๒/๕๑

ขอเชิญร่วมภาวนาเพื่อสันติสุขในประเทศ

ร่วมฟังเทศนาธรรม "คนไทยล้วนเป็นพี่น้องกัน" โดย ท่านว.วชิรเมธี

วันที่ 2 ธันวาคม 2551 เวลา 16.00 น. ณ หน้าหอศิลป์กรุงเทพฯ สี่แยกปทุมวัน


กิจกรรม
15.45 น. นัดรวมพล
16.00 น. เทศนาธรรม "คนไทยล้วนเป็นพี่น้องกัน" โดย ท่านว.วชิรเมธี
16.30 น. ตัวแทนเครือข่ายแสดงเจตนารมย์
- ผู้แทนจากภาคประชาสังคม
- ผู้แทนจากภาควิชาการ
- ผู้แทนจากภาคธุรกิจ
- ผู้แทนจากภาคเยาวชน


17.00 น. ร่วมภาวนาเพื่อให้เกิดความสันติสุขในประเทศ
โดยการเสียสละจากทุกฝ่าย ถอยคนละก้าว เพื่อให้ประเทศชาติไม่เข้าสู่สงครามกลางเมือง
ผู้แทนจากศาสนาพุทธ , ผู้แทนจากศาสนาศริสต์ , ผู้แทนจากศาสนาอิสลาม , ผู้แทนจากศาสนาอื่นๆ


17.59 น. ร่วมจุดเทียนเพื่อส่งแรงบัดดาลใจ ไปยังทุกภาคส่วน เพื่อให้ทุกฝ่ายช่วยกันเสียสละเพื่อความสงบสุขของประเทศ

18.00 น. กล่าวเรียกร้องเจตนารมย์ต่อสังคม
"ขอให้รัฐบาลเสียสละโดยการยุบสภาหรือลาออก
ขอให้พันธมิตรเสียสละถอยออกจากสนามบิน
ให้กระบวนการต่างๆ เดินตามกฏหมาย และเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย
พวกเราไม่ต้องการเห็นความแตกแยกของคนไทยด้วยกัน ไม่อยากเห็นความรุนแรง และไม่อยากเห็นสงครามกลางเมือง"

ผู้ประสานงาน สารี อ่องสมหวัง โทร 081-668-5240
เครือข่ายประชาชนร่วมหยุดสงครามกลางเมือง


ภาคีเครือข่ายองค์กรที่เข้าร่วม
1. มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม
2. ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล
3. ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬา
4. คณะกรรมการประสานงานองค์กรเอกชน (กปอพช.)
5. เครือข่ายพุทธิกา
6. กลุ่มสร้างพื้นที่สันติ
7. เครือข่ายคนพิการ
8. กลุ่มผู้รักความสงบ
9. เครือข่ายผู้บริโภค 26 จังหวัด และองค์กรผู้บริโภค
10. มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เครือข่ายองค์กรด้านเอดส์
11. เครือข่ายพนักงานบริการ (SWING)
12. เครือข่ายครอบครัว
13. เครือข่ายสลัมสี่ภาค
14. เครือข่ายจิตอาสา
15. เครือข่ายสุขภาพ
16. เครือข่ายนักศึกษา
17. อดีตวุฒิสมาชิก
18. เครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
19. ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย
20. ตัวแทนนักวิชาการ
จำนวนผู้เข้าร่วม 2000 คน

ผู้ประสานงาน สารี อ่องสมหวัง โทร 081-668-5240
เครือข่ายประชาชนร่วมหยุดสงครามกลางเมือง

๒๘/๑๑/๕๑

14 สไตล์มรณะ ปัจจัยเสี่ยง"มะเร็ง"


มะเร็ง ร้ายคอยแทรกตัวเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อเกาะไปกับกระแสเลือดให้พามันไปฝังตัว ตามอวัยวะสำคัญของร่างกายทุกที่ที่เลือดไปเลี้ยงถึงเซลล์ มะเร็งเป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสาร อาหารจากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด แต่ ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอยแห่งมะเร็งไว้แข่งกับ บาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูดมะเร็งชั้นดี ขอให้เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้ครับ

1) นอนดึก ทำ ให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่นได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน ด้วยว่าเมื่อนอนดึกแล้วมักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน

2) คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แม้จะสูบซิการ์ซึ่งมีนิโคตินต่ำกว่าบุหรี่ก็ตามที หรือดื่มเหล้าแบบกลั่นอย่างดีของฝรั่ง แต่ตัวมันเองก็สร้าง "สนิมมะเร็ง" ออกมาไม่น้อย ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็งครับ

3) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะ ใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือดอัน สมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอาๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไวไม่มีลิมิตชีวิตหดหู่แน่

4) แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ดังที่กล่าวไปว่าถ้าภูมิดีก็มีพลังต้านมะเร็งได้ตั้งแต่ในเซลล์แรกที่อุตริ เกิดขึ้นมา ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็งนี้เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน

6) ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7) ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8) กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10) ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำ ปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไร กับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11) ปะทะเค็มจัด พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ

13) ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมด ครับ เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

14) ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้าคือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึก ถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ "อยาก" อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี "สารสุข" หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ

ด้วยวิถีแห่งการมี "ไลฟสไตล์มรณะ" ทั้ง 14 ประการดังที่ได้กล่าวไปก็จะทำให้ได้มะเร็งมาเป็นเจ้าของอย่างง่ายดาย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก YENTA4.COM

๑๘/๑๑/๕๑

บำบัดป่วยด้วยหนังสือ



นับตั้งแต่ส่งลูกชายเข้าเรียนในชั้นอนุบาลจนถึง ป.2 ผลการเรียนของลูกอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าเพื่อนๆมาตลอด และดูเหมือนว่าลูกจะไม่ยอมรับรู้ใดๆ คุณแม่จึงย้ายโรงเรียนใหม่ให้ลูกเพราะคิดว่าวิธีการสอนของครูคนใหม่จะทำให้ ลูกเข้าใจบทเรียนมากขึ้น แต่จนแล้วจนรอดลูกก็ยังอ่านหนังสือไม่คล่อง แถมมีพฤติกรรมก้าวร้าว และเก็บกดในบางครั้ง

หลังจากพูดคุยกับผู้ ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ชาญวิทย์ พรนภดล สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นเวลานานพอสมควร คุณแม่จึงทราบว่า ลูกชายมีอาการ LD ( Leaning disorder) แต่เป็น LD ประเภท ภาวะการอ่านบกพร่อง(Dyslexia) หรือ บอดศัพท์ (word blindness)ทฤษฏีสมรรถภาพสมองสมอง

เป็นส่วนสำคัญต่อการอ่าน และสมองต้องทำงานประสานกันหลายส่วนจึงทำให้เกิดการอ่านและแปลความหมายได้ ซึ่งสรุปเป็นการกระบวนการได้ 2 ส่วน คือ

  1. กระบวนการทางกายภาพ ได้แก่ วิธีการใช้สายตาและการใช้มือประกอบกันเพื่อให้เกิดการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. กระบวนการทางสมองและระบบประสาทภายในร่างกายของคนเรา เพื่อส่งต่อในสิ่งที่ได้รับรู้เข้าไปบันทึกเก็บไว้ในเซลล์สมองให้มากที่สุด

จึงพอสรุปโครงสร้างของสมองที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการอ่านได้ดังนี้สมองแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ คือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง โดยเริ่มต้น

  • สมองส่วนหน้า (forebrain) ซึ่งประกอบด้วยสมองหลายส่วน เช่น ซีรีบรัม ทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็น เช่น ตัวหนังสือ วัตถุ สีขนาด มีนิวโรนเฉพาะสำหรับรับแสงที่ตกลงบนจอภาพของตา (retina) ในแต่ละมุม นอกจากนี้สมองส่วนนี้ยังทำหน้าที่รับรู้ (perception) อย่างซับซ้อน ที่สำคัญคือ ทำหน้าที่เข้าใจความหมายของภาษาที่ได้ยินหรือที่ใช้พูดกัน รวมถึงการเข้าใจความหมายของสิ่งต่างๆที่เราได้อ่านและลูบคลำ
  • สมองส่วนกลาง (midbrain) เป็นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสมองส่วนหน้าและสมองส่วนหลัง นอกจากนี้ บางส่วนของสมองจะทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับประสาทตาและประสาทหูด้วย
  • สมองส่วนหลัง (hindbrain) มีใยประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองส่วนต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้อย่างเป็นระบบ

หากสมองทำงานผิดปกติเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งจะเกิดผลเสียคือ" จะทำให้กระบวนการอ่านของเด็กเสียทั้งหมด เช่น บางคนบกพร่องเรื่องการรับภาพ เห็นตัวอักษรในลักษณะที่บิดเบือนไป ยกตัวอย่างเช่น เห็นตัวงองูกลับด้าน เหมือนเวลาเราดูภาพจากกระจกเงา หรือ สมองด้านภาษาบกพร่อง เขาจะไม่สามารถ แปลงสัญลักษณ์หรือภาพที่เขาเห็นเชื่อมโยงกับเสียงได้ เช่น เห็นตัว มอม้าแต่ไม่สามารถออกเสียงได้ เปรียบเทียบกับคนไทยที่ไปเมืองจีนแล้วเห็นอักษรจีน เราก็ไม่รู้ว่าจะออกเสียงอย่างไร เด็กกลุ่มนี้จะถูกครูและพ่อแม่เข้าใจผิดว่าขี้เกียจ ให้อ่านหนังสือก็ไม่อ่าน แต่จริงๆ เขาอ่านไม่ได้ ซึ่งพอโตขึ้น เด็กจะเริ่มเบื่อหน่ายการเรียน จะถอดใจว่าเพราะรู้สึกว่าการเรียนยาก ยิ่งเด็กโดนดุ ถูกคาดโทษจากพ่อแม่หรือคุณครู เด็กจะมีความกังวล และมองตัวเองไม่มีคุณค่า ในที่สุด เด็กผู้หญิงจะมีอาการซึมเศร้า ส่วนเด็กผู้ชายจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง"

คุณหมอแนะนำว่า ผู้ปกครองควรมีเวลาให้เด็กมากขึ้น และฝึกให้เด็กอ่านตัวอักษรที่อ่านไม่ออก โดยการทำตัวอักษรเป็นตัวนูนแล้วใช้มือสัมผัสไปด้วยขณะอ่าน เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ และเพื่อให้เด็กสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติเหมือนคนทั่วๆไปการอ่านช่วยกระตุ้นสมอง"

อ่านหนังสือให้ลูกฟังจึงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านภาษาพูด และภาษาอ่านได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ เนื้อหาในเรื่องที่เล่านั้น เป็นความดี ความจริง ความรู้ ซึ่งจะส่งผ่านเข้ามาถึงตัวเด็กได้ แต่ที่สำคัญมากกว่านั้น ความผูกพันของแม่และลูก ขณะที่ลูกนั่งอยู่บนตักแม่ แม่เล่านิทานอ่านหนังสือให้ลูกฟัง การกอดรัดสัมผัสของแม่ที่มีต่อลูกส่งผลให้เกิดการหลั่งของ โกร้ธฮอร์โมน และ เนิร์บโกร้ธ แฟคเตอร์ ซึ่งสารทั้งสองตัวนี้มีผลต่อการเจริญเติบโตของสมองมนุษย์มากทีเดียว นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลูกได้รับประโยชน์จากการอ่านที่แม้ไม่ได้ทำให้ ลูกแข็งแรงโดยตรงแต่ทำให้ลูกมีสมองและจิตใจที่แข็งแรง มีความสุข"…

เมื่อเด็กเริ่มหัดอ่าน แนวความสนใจจะเป็นไปตามรายบุคคล ทั้งปริมาณที่อ่านได้และประเภทของหนังสือที่อ่าน ในขณะเดียวกันต้องไม่ลืมว่าเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคลในการอ่าน ด้วย ซึ่งแนวความสนใจพอจะสรุปได้ดังนี้

  • ก่อนอายุ 5 ปี เด็กชอบเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ประจำวันที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เรื่อง สัตว์ ธรรมชาติ โคลงกลอน และนิทานภาพประกอบ เด็กอายุ 3-5 ปี ชอบให้ผู้ใหญ่อ่านการ์ตูนให้ฟัง
  • อายุ 6 ปีขึ้นไป เด็กเริ่มอ่านหนังสือตามที่ตนต้องการและเป็นดังนี้เรื่อยไปจนถึงชั้นประถม ศึกษาตอนต้น เด็กจะชอบเรื่องลึกลับ เรื่องคาดไม่ถึง เด็กชายชอบเรื่องสัตว์ เด็กหญิงชอบเรื่องเกี่ยวกับเด็กและประสบการณ์ของตน
  • อายุ9-11 ปี เด็กชอบเรื่องการผจญภัย เรื่องชีวิตของสัตว์ ชอบเรื่องความมีน้ำใจนักกีฬา ความกล้าหาญ ประดิษฐ์กรรมต่างๆ
  • อายุ 12-13 ปี เพิ่มความสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ บุคคล ธรรมชาติ เด็กหญิงจะชอบนิยาย
  • อายุ 14 ปี ระยะนี้เข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัว ความสนใจจะเพ่งไปในแนวใดแนวหนึ่ง ระยะนี้อาจอ่านหนังสือน้อยลง แต่จะชอบอ่านนิตยสารมากขึ้น เด็กหญิงชอบหนังสือสำหรับผู้ใหญ่มากขึ้น ชอบเรื่องรักใคร่สะเทือนอารมณ์ (ระยะนี้ควรให้คำแนะนำในการอ่านมากที่สุด)
  • อายุ 15 ปี ตอนนี้ความทุ่มเทในการอ่านผ่านไปแล้ว แต่ละคนเริ่มอ่านหนังสือตามแนวต้องการของโรงเรียนและสังคม เด็กชายมักชอบการทดลอง วิทยาศาสตร์ เด็กหญิงมักชอบนิยาย
  • อายุ16-17 ปี ความสนใจในการอ่านค่อยเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จะมีความสนใจ ความต้องการรสนิยมส่วนตัว สนใจเรื่องของโลกและปัญหาสังคมต่างๆ

หนังสือโอสถเยียวยาใจ"

การอ่านหนังสือจะทำให้ผู้อ่านพบว่า ความไม่แน่ใจของตน ความทุกข์โศก และความผิดหวัง มิได้เกิดขึ้นกับตนเองแต่เพียงผู้เดียว บุคคลอื่นๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดต่างก็มีประสบการณ์เช่นเดียวตน เขาจะรู้สึกโล่งอกเมื่อปัญหาที่ทำให้ตนเองต้องแยกตัวออกจากสังคมสู่โลกเปล่า เปลี่ยวแห่งความผิดหวัง ความข้องคับใจ ความทุกข์โศกหรือความสงสัย ถูกขจัดให้หมดไป ภายหลังจากการอ่านหนังสือ"

ความมหัศจรรย์จากการอ่าน นั้นไม่เพียงเกิดเฉพาะกับเด็ก และวัยทำงานที่ต้องการทั้งหาความรู้ ผ่อนคลายจิตใจ ตลอดจนสร้างกำลังใจให้ตัวเองเท่านั้น สำหรับผู้สูงอายุ หนังสือก็เป็นยาอีกขนานหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานด้วยความกระชุ่ม กระชวยได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยอัลไซเมอร์"

อย่างที่รู้กันว่า สมองสามารถงอกใหม่ได้ การอ่านหนังสือก็ช่วยทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น คนที่เป็นโรคสมองเสื่อมนั้น สิ่งที่คนไข้ต้องทำคือ การอ่าน เพราะทำให้เกิดความจำ และสมองได้ทำงาน เมื่อใดสมองได้ทำงาน กลไกต่างๆในสมองจะทำงานดีขึ้น ผู้ที่ยังไม่ป่วยก็จะช่วยป้องกันได้ ส่วนผู้ป่วยการอ่านจะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนหนังสือที่ใช้สำหรับอ่านไม่จำเป็นต้องระบุว่าเป็นหนังสืออะไร ขอเพียงแต่เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาไม่เลวร้าย เป็นหนังสือที่เราชอบและมีคุณค่าก็พอ"

"ดังนั้นยิ่งอ่านมาก เซลล์สมองได้ทำงานมาก เปรียบเทียบกับกล้ามเนื้อยิ่งใช้งานมาก ยิ่งแข็งแรง แต่ถ้าไม่ใช้งาน ไม่อ่านไม่คิดตาม มันจะฝ่อ แต่ถ้าใช้บ่อยๆ ก็จะแข็งแรง และจะมีบางส่วนที่งอกออกมา เกิดวงจรใหม่ๆ ขึ้นมา"

ความมหัศจรรย์ของหนังสือยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หนังสือยังเป็นยาแก้ไข้ บรรเทาปวดให้กับเด็กป่วยเรื้อรังได้อีกด้วย"

จากประสบการณ์ที่สอนเด็กป่วยในโรงพยาบาลจุฬา เพื่อให้เด็กเรียนทันเพื่อนในชั้นเรียน เด็กๆ ที่ป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคหัวใจ และโรคเลือด เด็กกลุ่มนี้จะไม่สามารถลุกออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้มากนัก เพราะสภาพร่างกายไม่แข็งแรง เขาจะนอนอยู่บนเตียง ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเบื่อ และบางทีทำให้มีอาการเครียด กิจกรรมที่เรามักให้ทำคือ การอ่านหนังสือ ซึ่งช่วยคลายความเครียดความวิตกกังวลได้ แต่หนังสือที่ให้เขาอ่านต้องเป็นหนังสือที่เขาสนใจ เด็กบางคนชอบการ์ตูน เขาจะอ่านจนเพลินลืมนอน จนเราต้องบอกให้นอนพัก แต่เด็กบางคนชอบการทดลอง ชอบวิทยาศาสตร์ เราก็จะจัดหนังสือกลุ่มนี้ให้ เขาจะซักถามว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องการให้ครูช่วยอธิบาย"

"แต่ที่เห็นค่อนข้างชัดเจนคือ เด็กบางคนที่เริ่มบ่นว่าปวดหัว มึนหัว เราก็จะหาหนังสือให้อ่าน ซึ่ง เมื่อได้อ่านหนังสือที่ชอบเขาก็ลืมอาการป่วย ถามอีกที ก็บอกครูว่า ผมหายแล้ว หนูหายแล้ว ซึ่งหนังสือช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้จิตใจผ่อนคลาย บางทีทำให้อาการป่วยทางร่างกายทุเลาได้ แต่ในบางกรณีที่ปวดมากๆ หนังสือก็ไม่สามารถช่วยเบี่ยงเบนความสนใจได้เหมือนกัน""และที่สำคัญมากคือ ต้องรู้ว่าเด็กชอบและสนใจหนังสืออะไร"

ขอขอบคุณสาระดีๆ จาก หนังสือชีวจิต ฉบับที่ 214

๑๐/๑๑/๕๑

แค่เดือนเดียว เด็กหาย 29 คน กลุ่มเสี่ยงเพศหญิง

ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เผยสถิติเด็กหายช่วงปิดเทอมมีจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี กลุ่มเสี่ยงเป็นเด็กหญิงอายุ 11 - 15 ปี มักจะถูกล่อลวงทางเพศ สาเหตุมีเวลาว่างเล่นอินเทอร์เน็ตแล้วหายตัวไปกับคนแปลกหน้า บางคนน้อยใจพ่อแม่หนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตเร่ร่อน

นางสาวธิติมา หมีปาน หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยว่า จากการรับแจ้งและประสานงานติดตามคนหายในเขตกรุงเทพมหานครในเดือนตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคเรียน พบว่ามีเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี สูญหายจำนวน 29 ราย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงอายุ 11-15 ปี ตกเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะหายตัวออกจากบ้านมากที่สุด โดยสาเหตุของการหายตัวไปของเด็กกลุ่มนี้คือ การถูกล่อลวงทางเพศ หลังจากมีเวลาว่างช่วงปิดเทอมและทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เรียนพิเศษ ทำงานพิเศษ เที่ยวต่างจังหวัด โดยเฉพาะการเล่นอินเทอร์เน็ตพูดคุยและพบปะกับคนแปลกหน้าจึงถูกหลอกและลักพาตัวไปในที่สุด

หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า สถิติตัวเลขเด็กหายช่วงปิดเทอมมีจำนวนเพิ่มขึ้นแทบทุกปี เมื่อวิเคราะห์สาเหตุแล้วจะเห็นว่า กิจกรรมที่เด็กทำในช่วงปิดเทอมแม้จะก่อให้เกิดคุณประโยชน์ แต่ก็แฝงไว้ด้วยภัยเงียบ เพราะกิจกรรมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ทำให้เด็กได้มีโอกาสสานสัมพันธ์กับบุคคลภายนอก อีกทั้งเด็กสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารได้ง่ายขึ้นทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ จึงทำให้เด็กรู้สึกผูกติดกับสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องเกมออนไลน์และโปรแกรมไฮไฟว์ เป็นต้น

"ปัญหาเกิดขึ้นจากเด็กใช้เวลาว่างอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วสร้างโลกส่วนตัวด้วยการพูดคุยกับคนแปลกหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่ไม่ดูแลเอาใจใส่ ปล่อยให้เกมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เมื่อพ่อแม่บังคับไม่ให้เล่น เด็กจึงเลือกวิธีหายตัวออกจากบ้านเพื่อที่จะได้มีอิสระในการเล่นเกมและไม่ต้องฟังเสียงบ่นหรือโดนบังคับอีก เด็กบางคนอายุแค่ 9 ขวบ ก็หนีออกจากบ้าน เพราะน้อยใจที่ถูกพ่อแม่ตำหนิเรื่องการเรียน" น.ส.ธิติมากล่าว

เธอเล่าว่า เมื่อเด็กกลุ่มนี้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ทำให้พัฒนากลายเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่ตามสนามหลวงและหัวลำโพง และต้องนั่งขอเงินหรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อหาเงินมายังชีพ แต่ด้วยวัยของเด็กแล้วอาจไม่สามารถทำงานที่สุจริตได้ จึงทำให้เด็กเลือกที่จะก่ออาชญากรรมแทน ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้เด็กเปลี่ยนจากเด็กเร่ร่อนกลายมาเป็นอาชญากรเด็กหรืออาชญากรรุ่นเยาว์แทน น.ส.ธิติมาบอกอีกด้วยว่า เด็กผู้หญิงบางส่วนที่ตามหาตัวพบแล้ว เมื่อตรวจสอบพบว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศจากคนแปลกหน้าทั้งที่มีอายุมากกว่าและใกล้เคียงกันก็มี ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดกรณีเด็กหายออกจากบ้านหรืออาชญากรเด็กขึ้นมา ทางครอบครัวควรมีการเตรียมการรับมือในช่วงก่อนเปิดเทอม อาทิเช่น การหากิจกรรมเพื่อมาดึงเด็กออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจากกิจกรรมที่เด็กกำลังหมกหมุ่นอยู่ ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้อบอุ่นอีกด้วย

ทั้งนี้ สถิติคนหายทั่วทั้งประเทศไทยนับตั้งแต่ปีเดือนตุลาคม 2546 ถึงปัจจุบัน ทางมูลนิธิฯ ได้รับแจ้งเหตุการณ์หายตัวไปของคนในสังคมเป็นจำนวน 1,162 ราย แยกเป็นเพศชายจำนวน 397 ราย เพศหญิงจำนวน 765 ราย และจากจำนวนนี้มีผู้สูญหายอายุไม่เกิน 18 ปีมีจำนวน 699 ราย แบ่งเป็นเพศชาย 135 ราย เพศหญิง 564 ราย ช่วงอายุที่หายตัวไปมากที่สุดคือ 11 - 15 ปีจำนวน 339 ราย ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากการถูกล่อลวงเพื่อทางเพศ

น.ส.ธิติมา กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลคนหายขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขอพื้นที่สำหรับประชาสัมพันธ์รูปภาพติดตามเด็กหายตามสื่อมวลชนทุกแขนง พร้อมขอความร่วมมือประกาศเตือนภัยเด็กหายตามสถานที่เสี่ยงภัย การสืบเสาะหาหลักฐานของคนร้าย หรือการติดตามหาเด็กอย่างเร่งด่วน ตลอดจนขอให้ประชาชนที่พบเห็นเบาะแสหรือเหตุการณ์ที่น่าสงสัย กรุณาแจ้งเรื่องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน หากผู้ใดพบเห็นหรือรู้เบาะแสเด็กถูกลักพาตัว สามารถโทร.แจ้งได้ที่ โทร.0-2642-7991 ต่อ 11
ขอขอบคุณข่าวจาก

๒๘/๑๐/๕๑

10 วิธีลดเสี่ยง ห่างภัยมะเร็งร้าย

มะเร็งเป็นโรคที่เกิดกับใครก็ได้ ไม่ว่าเด็ก คนแก่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย จะร่ำรวยหรือยากจน มะเร็งยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตของผู้คนทั้งในประเทศที่ พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา แต่ข่าวดีก็ยังมีอยู่ นั่นคือองค์ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของโรคมะเร็งได้รับการพัฒนาไปมากพอจนเรา เรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็งได้


ในงานเปิดตัว บัตร Healthy Living Club บัตรรักษาสุขภาพของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีการให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องสุขภาพหลายอย่างที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือ เรื่องโรคมะเร็ง พร้อมคำแนะนำ 10 ประการ ที่ปฏิบัติได้เพื่อชีวิตห่างไกลโรคมะเร็ง

1. ลด หรือเลิกบุหรี่ การเลิกสูบ บุหรี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญที่สุดที่จะลดความเสี่ยงจาก มะเร็งปอดและโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ เลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ขอคำปรึกษาถึงวิธีการเลิกแบบต่างๆ จากแพทย์ได้ ทั้งการรักษาด้วยยาหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

2. กินอาหารที่มีประโยชน์ ตอนเด็กๆ หลายคนอาจเซ็งที่ถูกบังคับให้กินผัก แต่เมื่อโตขึ้นจะรู้ว่าผักเป็นประโยชน์มากต่อตัวเราเอง ผักจำพวกบร็อกโคลี่ กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี และกะหล่ำขาว อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง นอกจากนี้ ผลเบอร์รี่ ถั่วแดง และชาเขียว ก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน สารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลร้ายต่อ เซลล์ปกติซึ่งในท้ายที่สุดอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรกินแต่พอประมาณ

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกาย นานครั้งละ 30 นาที 3-5 วัน ต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ การออกกำลังกายในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบ นักกีฬา แต่การเล่นโยคะ เดิน หรือเต้นแอโรบิกก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้ดีที่ สุดเช่นกัน นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้เป็นโรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด

4. ตรวจสุขภาพประจำปี มีหลักฐานยืน ยันว่าการตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจพบมะเร็งแต่เนิ่นๆ ทำให้โอกาสที่จะรักษาจนหายมีมากขึ้นเท่านั้น และยังช่วยให้การรักษาฟื้นฟูทำได้เร็วขึ้นโดยมีผลข้างเคียงลดลง ดังนั้น ควรตรวจร่างกายสม่ำเสมอและขอคำแนะนำจากแพทย์เรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งที่ เหมาะกับวัย เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไปควรทำแมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือชายในวัย 40 ปีขึ้นไปควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่มะเร็งบางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก

5. ดื่มแต่พอดี การดื่ม แอลกอฮอล์ที่มากเกินไปอาจเป็นผลร้ายต่อตับมากเป็นพิเศษ แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่ พอเหมาะ (ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน)

6. สืบสาวเรื่องราวครอบครัว มะเร็งหลายชนิด มักเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือพูดง่ายๆ มะเร็งสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ดังนั้นการได้ทราบว่าคนในครอบครัวของคุณมีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็งชนิดใด ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะให้คำแนะนำและดูแลได้เหมาะสม

7. หลีกเลี่ยงแสงแดด รังสีอัลตรา ไวโอเลต (ยูวี) ในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนังซึ่งส่วนมากสามารถป้องกันได้ง่ายๆ 2 วิธีคือ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด

8. มีเพศสัมพันธ์ปลอดภัย เพศสัมพันธ์ที่ ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็น สาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่าประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญ เชื้อ HPV นี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนัก และอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV ได้ในระดับหนึ่ง โดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์

9. นอนหลับให้สนิท จากการศึกษาพบ ว่า การนอนหลับสนิทจะมีผลไม่ทำให้เป็นมะเร็ง เนื่องจากสารเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สมองผลิตในระหว่างการนอนหลับมี คุณสมบัติต่อสู้กับมะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อการนอนนั้น เป็นการ นอนหลับสนิทต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น

10. หลีกเลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย สารจำพวกยาฆ่า แมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซินนั้น เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเหล่านี้ในบ้านหรือที่ทำงานย่อมเป็น การลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟ หรือ PBDE ซึ่งมักจะใช้กับผ้า เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ด้วยเช่นกัน
ขอขอบคุณสาระดีๆ จาก

๑๖/๑๐/๕๑

ตะลึง! นมยี่ห้อดัง พบเมลามีนเกินถึง 37 เท่า

ตะลึง "นมตรามะลิ" พบ "เมลามีน" เกินถึง 37 เท่า!! อย.อายัด 1.5แสนกระป๋อง เรียกคืนยกล็อตออกจากตลาด ด้านบริษัทยันไม่ใช้ของจีน

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ว่า อย.ได้รับผลการตรวจวิเคราะห์สารเมลามีนจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบสารเมลามีน 1 รายการ คือ นมข้นแปลงไขมันไม่หวาน สูตรน้ำมันปาล์ม ตรามะลิ ชนิดกระป๋อง เลขสารบบ อย. 14-1-02323-1-0037 น้ำหนักสุทธิ 385 กรัม วันหมดอายุ 160109 ผลิตโดยบริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด ตรวจพบปริมาณสารเมลามีน 92.82 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่ อย.กำหนดในผลิตภัณฑ์นมต้องมีเมลามีนไม่เกิน 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ทั้งนี้ อย.ได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของบริษัทอุตสาหกรรมนมไทยมาตรวจสอบทั้งสิ้น จำนวน 10 รายการ พบปนเปื้อน 1 รายการ, ไม่พบการปนเปื้อนของสารเมลามีนจำนวน 6 รายการ คือ

1. นมดัดแปลงสูตรต่อเนื่องสำหรับทารกและเด็กเล็ก อายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปี ชนิดละลายทันทีสูตร 2 นูโอ-พลัส เครื่องหมายการค้าสโนว์แบรนด์
2. นมผงดัดแปลงสำหรับทารกชนิดละลายทันที สูตร 1 สำหรับทารกตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 ปี นูโอ เครื่องหมายการค้าสโนว์แบรนด์

3. ผลิตภัณฑ์นมชนิดละลายทันที สูตร 3 ผลิตภัณฑ์นมชนิดละลายทันที สำหรับเด็กวัย 1 ปีขึ้นไป และทุกคนในครอบครัว นูโอ-คิดส์ เครื่องหมายการค้าสโนว์แบรนด์
4. นมข้นแปลงไขมันหวาน สูตรน้ำมันปาล์มผสมมันเนย ตรามะลิ นมผงขาดมันเนย 20%

5. Foster Farms Dairy NON FAT DRY MILK MADE FROM PASTEURIZED MILK และ

6. Skimmed Milk Powder
ส่วนอีก 3 รายการ รอผลการตรวจสอบ ได้แก่ เนยชนิดเค็ม ตราออร์คิด ครีมเทียมข้นหวานชนิดพร่องไขมัน ตรา เบิดวิงซ์ นมข้นแปลงไขมันหวาน ตรามะลิ

นายวิชาญ กล่าวด้วยว่า เมื่อได้รับผลการตรวจวิเคราะห์พบสารเมลามีน เจ้าหน้าที่ อย.จึงรีบเข้าไปตรวจสอบยังโรงงาน เลขที่ 158 นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อตรวจสอบการใช้วัตถุดิบ โดยบริษัทอุตสาหกรรมนมไทยได้แจ้งว่า วัตถุดิบที่นำมาใช้มาจากหลายแหล่งหลายประเทศ เช่น เบลเยี่ยม สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย เยอรมนี อินเดีย และพม่า เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ อย.อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ยังได้เก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของบริษัทมาตรวจสอบเพิ่มเติมอีก จำนวน 15 รายการ และได้ประสานด่วนโดยทำหนังสือถึงบริษัทฯ ผู้ค้าปลีก และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ให้เรียกคืนผลิตภัณฑ์รุ่นที่มีปัญหาดังกล่าว รวมทั้งทุกผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้วัตถุดิบเดียวกัน พร้อมทั้งนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบเดียวกันออกจาก ชั้นวางจำหน่ายทุกแห่งทันที

นพ. พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า จากการตรวจสอบที่โรงงานเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการอายัดนมชนิดนี้ทั้งสิ้น 1.5 แสนกระป๋อง ซึ่งทราบว่าในรอบปีนี้บริษัทมีการผลิตสินค้าชนิดนี้ทั้งสิ้น 4 ล็อต โดยล็อตที่มีการตรวจพบสารเมลามีนปนเปื้อนเป็นล็อตที่ผลิตเมื่อราววันที่ 16 มกราคม 2551 ซึ่งผลิตจำนวนทั้งสิ้น 4 หมื่นกระป๋อง อย.ได้สั่งเก็บออกจากท้องตลาดทั้งหมด ส่วนอีก 3 ล็อตได้สั่งการให้นำออกจากชั้นวางจำหน่ายเป็นการชั่วคราวจนกว่าผลการตรวจสอบ จะออกมาว่ามีการปนเปื้อนหรือไม่ หากไม่มีก็ให้นำมาวางจำหน่ายได้ตามปกติ

"ในการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า วัตถุดิบที่บริษัทใช้มีการนำเข้าจากหลายประเทศ แต่ไม่มีประเทศจีนแน่นอน จึงต้องสอบย้อนกลับไปว่าประเทศที่ขายวัตถุดิบให้กับบริษัทนี้นำเข้าวัตถุดิบ จากประเทศไหนต่อไป ส่วนระยะยาว อย.จะขอความร่วมมือให้บริษัทนี้ เฝ้าระวังและตรวจสอบวัตถุดิบเข้มข้นมากขึ้น ในขณะที่ อย.ก็จะเก็บสินค้าของบริษัทที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมาตรวจสอบเป็นระยะๆ เช่นกัน ส่วนสินค้าที่มีผู้บริโภคซื้อไปแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นบริษัทต้องรับผิดชอบ ส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันของยี่ห้ออื่นๆ อย.ได้เก็บตัวอย่างมาตรวจแล้วแต่ยังไม่ทราบผล" นพ.พิพัฒน์ กล่าว

เลขาธิการ อย. กล่าวอีกว่า สำหรับผล กระทบที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณภาพไตของแต่ละบุคคล ปริมาณที่รับประทาน และน้ำหนักตัวของผู้บริโภค ทั้งนี้ ตามเกณฑ์มาตรฐานมีการระบุว่าสามารถบริโภคเมลามีนได้ไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัมต่อวัน หากน้ำหนักตัว 40 -50 กิโลกรัม ก็บริโภคได้ไม่เกิน 25 มิลลิกรัม ซึ่งนมชนิดนี้ 1 กระป๋องน่าจะมีปริมาณประมาณ 500 กรัม เพราะฉะนั้น หากบริโภค นมหมดใน 1 กระป๋อง จะได้รับสารเมลามีนประมาณ 45 มิลลิกรัม แต่โดยมากไม่มีใครบริโภคหมด 1 กระป๋องใน 1 วัน เพราะอย่างมากคงใส่ในกาแฟเพียงเล็กน้อย แต่หากเป็นในเด็กเล็กจะมีอันตรายมากกว่าเพราะระบบย่อยอาหารยังไม่ดี สำหรับความผิดที่จะได้รับคือ โทษฐานผลิตอาหารไม่บริสุทธิ์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ขอขอบคุณข่าวจาก

๗/๑๐/๕๑

รักษาภาวะโรค....ขี้ลืม ด้วยสารสกัด ' พริกไทยดำ '


อัลไซเมอร์” หรือความจำเสื่อม เป็นโรคที่ผู้คนในสังคมปัจจุบันเริ่มเป็นกันมากโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมี “ต้นสายปลายเหตุ” มาจากภาวะ “เครียดสั่งสม” ทั้งจากปัญหาสิ่งแวดล้อม อาหาร ขาดการออกกำลังกาย รวมทั้ง “โหม” งานหนัก พักผ่อนน้อย ส่งผลให้ สมองเกิดความล้า จำเหตุการณ์ และ ช่วง เวลาได้ไม่แน่นอน ขี้หลงขี้ลืมในระยะแรกๆ ต่อมาพฤติกรรม บุคลิกเริ่มเปลี่ยน ความทรงจำความนึกคิด การมีเหตุมีผล (cognitive) เริ่มลดน้อยถอยลง

เพื่อลดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคดังกล่าว รศ.ดร. อรุณศรี ปรีเปรม คณะเภสัชศาสตร์ รศ.ดร.สมเดช กนกเมธากุล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงนำพริกไทยดำมาสกัด เพื่อใช้ “รักษาภาวะความจำบกพร่อง
รศ.ดร.อรุณศรี บอกว่า โครงการดังกล่าวทีมวิจัยได้ทำการศึกษามาเป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งเริ่มแรกนั้น คณะแพทยศาสตร์ ทำการศึกษาสมุนไพรหลายชนิดคือ หัวหอม ใบบัวบก ขิง พริกไทย เพื่อเอามาคัดว่าสารกลุ่มไหนมีโอกาสสามารถนำมาใช้ได้ดีที่สุด และพบว่า “พริกไทยดำ” จะมีสาร พิเพอร์ลีน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยทำให้สมองส่วนที่บกพร่องสามารถกู้กลับคืนมาได้ ต่อมา รศ.ดร.สมเดช หนึ่งในทีมวิจัยฯ จึงเริ่มเสาะหาวัตถุดิบในหลายๆพื้นที่มาวิเคราะห์จึงได้ข้อมูลว่า พริกไทย ดำจากจังหวัดจันทบุรีมี สาร พิเพอร์ลีน คุณภาพยอดเยี่ยม

การสกัดสารฯ ด้วยการนำ “พริกไทยดำ” มาบรรจุภาชนะที่เตรียมไว้ในห้องปฏิบัติการ ใช้แอลกอฮอล์ 50 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับน้ำ วนกลั่นในเครื่องมือกระทั่งได้ สารที่ข้น จากนั้นนำมาทำให้บริสุทธิ์ ด้วยการปล่อยให้ตกผลึก ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวัน จากน้ำ ที่ดำจะกลายเป็นผงขาว (พิเพอร์ลีน)
เพื่อให้ใช้ได้สะดวก หยอดจมูกแล้วไม่แสบฉุน ไม่ระคายเคือง ทีมวิจัยจึงนำไปปรับให้อยู่ในรูปอนุภาค “นาโน” โดยใช้ ไขมัน กับ ฟอสโฟลิปิด ซึ่งมีอยู่ใน ถั่วเหลือง และ ไข่แดง มาปั่นด้วยเทคโนโลยี กระทั่งพิเพอร์ลีนถูกหุ้มด้วยไขมัน ลักษณะใส ไม่มีกลิ่น ขนาดเล็ก สามารถใช้หยอดจมูก เพื่อนำไปสู่ระบบสมองได้โดยตรง

ผศ.ดร.จินตนาพรณ์ วัฒนธร ได้มาทดสอบกับหนูทดลองซึ่งเป็นโรคอัลไซเมอร์ ด้วยการหยอดเข้าทางจมูกวันละ 1 ครั้งในปริมาณที่เหมาะสม ระยะเวลา 1 เดือน ให้ผลว่า สารดังกล่าวสามารถช่วยทำให้สมองส่วนที่บกพร่องของสัตว์ ทดลองมีอาการกลับเป็นปกติ เหมือนหนูกลุ่มควบคุมที่ นำมาใช้เปรียบเทียบ
และ...ในขั้นต่อไปคณะวิจัยจะส่งต่อผลงานไปสู่คณะแพทยศาสตร์ เพื่อเริ่มนำไปทดลองกับกลุ่มอาสา
สมัคร....คาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ แพทย์ไทยจะสามารถรักษาโรค “ขี้ลืม” ได้อย่างแน่นอน

ขอขอบคุณข่าวจาก

๓/๑๐/๕๑

อย.ออกหนังสือรับรอง 27 ผลิตภัณฑ์ ไร้สารปนเปื้อน เมลามีน

อย.ออกหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์แก่บริษัทผู้ผลิตและนำเข้า ที่ผลตรวจไม่พบการปนเปื้อนสารเมลามีนจำนวน 6 บริษัท รวมทั้งสิ้น 27รายการ เช่น เอ็มแอนด์เอ็ม นมดัชมิลล์ นมดูเม็กซ์ และเมนทอส โยเกิร์ต มิกซ์

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวนมผง ซึ่งผลิตในจีนปนเปื้อนสารเมลามีน ทำให้เด็กป่วยเป็นจำนวนมากและเสียชีวิตนั้น กระทรวงสาธารณสุข ได้แถลงข่าวเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนัก งานคณะกรรมการ-อาหารและยา (อย.) ซึ่งมีมาตรการเข้มงวดมิให้ ผลิตภัณฑ์นมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนประกอบ มีการปนเปื้อนสารเมลามีนถึงมือผู้บริโภคได้

นพ.พิพัฒน์ กล่าวว่า อย.ได้ให้หนังสือรับรองผลิตภัณฑ์แก่บริษัทผู้ผลิตและนำเข้า ที่ผลตรวจไม่พบการปนเปื้อนสารเมลามีนจำนวน 6บริษัท รวมทั้งสิ้น 27 รายการ ดังนี้


1. บริษัท ดีทแฮล์ม จำกัด
- เวเฟอร์สติ๊กไวท์ช็อกโกแลต (เวเฟอร์เคลือบ ช็อกโกแลตขาว) (เครื่องหมายการค้าโอรีโอ) 10-3-26848-1-0365 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551
- เวเฟอร์สติ๊กช็อกโกแลต (เวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลต) (เครื่องหมายการค้าโอรีโอ) 10-3-26848-1-0367 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551

2.บริษัท มาร์ส ไทยแลนด์ อิงค์ จำกัด
- M&M’S MILK CHOCOLATE 10-3- 03839-1-0045 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551
- DOVE MILK CHOCOLATE 10-3-03839-1-0066 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551
- SNICKERS 10-3-03839-1-0060 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2551
- M&M’S MINIS 10-3-03839-1-0058 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551
- M&M’S PEANUT CHOCOLATE 10-3-03839-1-0059 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551
- DOVE HAZEL, ALMOND AND RAISIN 10-3-03839-1-0092 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551
- DOVE HAZELNUT 10-3-03839-1-0071 เมื่อวันที่ 29 กันยายน

3.บริษัท ซีโน-แปซิฟิคเทรดดิ้ง(ไทยแลนด์) จำกัด
- ผลิตภัณฑ์ เมนทอส โยเกิร์ต มิกซ์ (MENTOSYOGHURT MIX) ลูกอมรสโยเกิร์ต กลิ่นผลไม้รวม 10-3-11523-1-2385 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551

4. บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด
- ไอซ์คอนเฟคชันรสช็อกโกแลตเคลือบรสช็อกโกแลตและชิ้นขนมปังกรอบรสช็อกโกแลต(ไอศกรีมดัดแปลงผสม) (เครื่องหมายการค้า วอลล์ มินิ ป๊อปเปอร์) 10-3-08945-1- 0099 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551
- ไอซ์คอนเฟคชันกลิ่นวานิลลาเคลือบรสช็อกโกแลต, ถั่วลิสง และชิ้น ข้าวกรอบ (ไอศกรีมดัดแปลงผสม) (เครื่องหมายการค้า วอลล์ มินิ ป๊อปเปอร์) 10-3- 08945-1-0100 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551
- ไอซ์คอนเฟคชันกลิ่นวานิลลาและบิสกิตรสช็อกโกแลต (ไอศกรีมดัดแปลง ผสม) (เครื่องหมายการค้า วอลล์ มอ ซอฟท์ คุกกี้ แซนด์วิช) 10-3-08945-1-0096 เมื่อ วันที่ 29 กันยายน 2551
- ไอซ์คอนเฟคชันกลิ่นวานิลลาประกบด้วยบิสกิตรสช็อกโกแลต (ไอศกรีมดัดแปลงผสม) (เครื่องหมายการค้า มอ ซอฟท์ คุกกี้ แซนด์วิช) 10-3-08945-1-0095 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2551

5.บริษัท ดัชมิลล์ จำกัด
- นมขาดมันเนย พาสเจอร์ไรส์ ตราดัชมิลล์ 73-1-17929-1-0179 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- นมสดพาสเจอร์ไรส์ ตราดัชมิลล์ 73-1-17929-1-0142 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- นมปรุงแต่งพาสเจอร์ไรส์ รสหวาน ตราดัชมิลล์ 73-1-17929-1- 0141 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- นมปรุงแต่งพาสเจอร์ไรส์ รสช็อกโกแลต-มอลต์ ตราดัชมิลล์ 73-1-17929-1-0166 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- นมปรุงแต่งพาสเจอร์ไรส์ รสกาแฟ ตราดัชมิลล์ 73-1-17929-1- 0014 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- นมปรุงแต่งพาสเจอร์ไรส์ รสโกโก้ ตราดัชมิลล์ 73-1-17929-1- 0140 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- นมปรุงแต่งพาสเจอร์ไรส์ กลิ่นสตรอเบอรี่ ตราดัชมิลล์ 73-1-17929-1-0012 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- นมสดพร่องมันเนย พาสเจอร์ไรส์ รสกาแฟ ตราดัชมิลล์ 73-1-17929-1- 0137 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- โยเกิร์ตผสมสตรอเบอร์รี่ (แคลเซี่ยมสูง) ตราดัชชี่ 73-1-17929-1-0018 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- โยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งและลฃเลมอน (แคลเซี่ยมสูงและมีวิตามิน) ตราดัชชี่ 73-1-17929-1-0167 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- โยเกิร์ตผสมวุ้นมะพร้าว (แคลเซี่ยมสูง) ตราดัชชี่ 73-1-17929-1-0019 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551

6.บริษัท ดูเม็กซ์ จำกัด
- นมดัดแปลงสำหรับทารก (ดูเม็กซ์ ไฮคิว เนเชอรัล ชีลด์ เครื่องหมายการค้า) 11-1-02623-1-0101 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551
- นมดัดแปลงสำหรับทารก (ดูแลค เครื่องหมาย การค้า) 11-1-02623-1- 011 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2551 หากมีความคืบหน้า อย.จะแจ้งให้ทราบต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

๑/๑๐/๕๑

นมจีน-น้ำผักผลไม้-น้ำสมุนไพร ปนเปื้อนน้ำใบบัวบกร้ายสุด


อย.สั่งอายัดนมผงนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 60 ตัน ส่งตรวจหาสารปนเปื้อน ชี้หากไม่ผ่านต้องส่งกลับต้นทาง-ทำลาย พร้อมเก็บตัวอย่างนม-ผลิตภัณฑ์ผสมนมจากจีน ตรวจ 97 ตัวอย่าง พบปนเปื้อนเมลามีนแค่ 2 ตัวอย่าง รอผลตรวจอีก 63 ตัวอย่าง

ตะลึง "น้ำผักผลไม้-น้ำสมุนไพร" ทั่วกรุงเปื้อนจุลินทรีย์เพียบ "น้ำใบบัวบก" อันตรายสุดเผยในจำนวนนั้นเกิดจากเชื้อโรคที่ติดมากับมือคนตักขาย

เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รมช.สาธารณสุข แถลงว่าขณะนี้ได้ตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบนมผงจากจีน ได้แก่ ขนมปัง แค ร็กเกอร์ (ไส้ครีม) ไอศกรีม เป็นต้น ตั้งแต่วัน ที่ 19 กันยายน จำนวน 97 ตัวอย่าง ผลการตรวจสอบจาก 34 ตัวอย่าง ไม่พบการปน เปื้อนสารเมลามีน 32 ตัวอย่าง ส่วน 2 ตัวอย่างมีการปนเปื้อนเมลามีน ซึ่ง เป็นวัตถุดิบที่นำเข้าจากจีน โดยบริษัทนมยี่ห้อดังแห่งหนึ่ง มีค่าเมลามีน ที่ 0.38 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หรือ 0.38 พีพีเอ็ม และ 0.55 มิลลิกรัมต่อ กิโลกรัม แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัย ส่วนอีก 63 ตัวอย่าง กำลังรอผล ตรวจวิเคราะห์

ผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ได้หนังสือรับรองจากอย.แล้ว ได้แก่ บริษัท ดีทแฮ ล์ม จำกัด มีผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด บริษัท มาร์ส ไทยแลนด์ อิงค์ จำกัด มี ผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรอง 7 ชนิด บริษัท ซีโน-แปซิฟิก เทรดดิ้ง (ไทย แลนด์) จำกัด ได้รับการรับรอง 1 ชนิด และบริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรด ดิ้ง จำกัด ได้รับการรับรองไอศกรีม 4 ชนิด

นายวิชาญ เตือนให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากและเครื่องหมาย อย.มารับ ประทาน ไม่ควรเสี่ยงซื้อผลิตภัณฑ์ที่ลักลอบนำเข้า เพราะไม่ได้ผ่านการตรวจ สอบจาก อย. อาจมีการปนเปื้อนสารที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้น จึงได้ตั้งวอร์ รูมเพื่อติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที และเพื่อสร้างความเข้าใจ ให้แก่ผู้บริโภค อย.ได้นำข้อมูลและคำแนะนำสำหรับผู้บริโภคขึ้นเว็บไซ ต์ www.fda.moph.go.th รวมทั้งรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าจากการประชุมวอร์ รูมขึ้นเว็บไซต์ทุกวัน

นพ.ชาตรีบานชื่น เลขาธิการ อย. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา ได้เรียกประชุมหารือผู้ที่ เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้าม ผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย โดยอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย จะต้องไม่ พบการปนเปื้อนสารเมลามีน และสารในกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ กรดไซยานูริก แอมมี ไลน์ แอมมีลีน โดยมีเกณฑ์ในการปฏิบัติเนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนตาม ธรรมชาติ จึงกำหนดเกณฑ์ความปลอดภัยอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเมลามีนและสารใน กลุ่มเดียวกันไว้ว่า สำหรับนมผงทุกชนิด ต้องไม่เกิน 1 พีพีเอ็ม หรือ 1 ส่วน ใน 1 ล้านส่วน หรือ 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีนม หรือองค์ประกอบของนมเป็นส่วนประกอบ ต้องไม่เกิน 2.5 พีพี เอ็ม หรือ 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

เลขาธิการอย. ชี้ว่า การนำเข้าอาหารเพื่อจำหน่าย จะต้องมีหนังสือรับรองจากหน่วยงานของรัฐ ที่รับผิดชอบของประเทศที่เป็นแหล่งผลิต หรือสถาบันเอกชนที่รับรองโดยหน่วย งานของรัฐที่รับรองประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดแล้ว ที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีการ ปนเปื้อนสารเมลามีนและสารในกลุ่มเดียวกันเกินเกณฑ์ความปลอดภัยที่กำหนด ซึ่ง ประกาศฉบับนี้หากผู้ประกอบการรายใดฝ่าฝืนประกาศฉบับนี้ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่ 6 เดือน-2 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท ทั้งนี้ จะนำเสนอ รม ว.สาธารณสุข เพื่อลงนามในประกาศก่อนลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะมีผล บังคับใช้ในวันถัดจากไป ก่อนประกาศจะมีผลบังคับใช้ จะใช้ พ.ร.บ.อาหาร พ. ศ. 2522 เกี่ยวกับอาหารที่น่าจะเป็นอันตรายเจือปนอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นอาหาร ไม่บริสุทธิ์ หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่น บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ภก.สาทิศตรีสัตยาเวทย์ ผอ.กองงานด่านอาหารและยา กล่าวถึงการนำเข้านมจาก ประเทศจีนของบริษัทนมชื่อดัง ว่า อย.ได้อายัดนมนำเข้าจากจีน ซึ่งบริษัทดัง กล่าวนำเข้านมจากจีนเมื่อประมาณ 3 ปีมาแล้ว เดิมมีการนำเข้าจาก นิวซีแลนด์ แต่เนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้ง นมขาดตลาด จึงได้นำเข้าจาก จีน นอกจากนมผงที่อายัดไว้จำนวน 22 ตันเพื่อรอผลการตรวจวิเคราะห์ซ้ำ แล้ว ขณะนี้ยังมีการอายัดนมผงอีกจำนวน 60 ตัน จาก 4 ลอตที่มีการนำเข้าที่ ท่าเรือ หากผลการตรวจวิเคราะห์ออกมามีความปลอดภัยก็สามารถนำนมผงดังกล่าว เข้ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้ แต่ถ้าไม่ผ่านมีการปนเปื้อนเมลามีน จะต้อง ส่งกลับไปยังประเทศต้นทางทันที หากไม่ส่งกลับ อย.จะนำไปทำลายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการแถลงข่าวนพ.ชาตรี ได้สั่งการให้เก็บตัวอย่าง นมผง 60 ตัน ส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้วย เพื่อ เป็นการยืนยันผลการตรวจ

ขณะที่อันตรายจากการบริโภคอาหารปนเปื้อนยังขยายเพิ่มอีกน.ส.ทิพย์ วรรณ ปริญญาศิริ ผู้อำนวยการกองควบคุมอาหาร (อย.) กล่าวว่า จากกระแสความใส่ ใจต่อสุขภาพ ทำให้คนไทยหันมาดื่มน้ำผักผลไม้หรือน้ำสมุนไพรกันมากขึ้น แต่ น้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อย จึงมีความ เสี่ยงต่อการปนเปื้อนจุลินทรีย์ในทุกช่วงการผลิต โดยเฉพาะหลักการผลิตและการ วางจำหน่ายจะมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์มาก เนื่องจากไม่มีกระบวนการฆ่าเชื้อ ดังนั้น อย.จึงได้ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปน เปื้อนจุลินทรีย์ในเครื่องดื่มสมุนไพร โดยศึกษาการปนเปื้อนจุลินทรีย์ใน เครื่องดื่มสมุนไพรในภาชนะที่บรรจุปิดสนิทและพร้อมบริโภคที่จำหน่ายใน เขต กทม. 50 เขต

ทั้งนี้น้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพรที่ได้เก็บตัวอย่าง สำรวจ 455 ตัวอย่าง ได้แก่ น้ำใบบัวบก น้ำสำรอง น้ำเฉาก๊วย น้ำบีทูรท น้ำ กระเจี๊ยบ น้ำเสาวรส น้ำเก๊กฮวย และน้ำจับเลี้ยง ทั้งในแบบภาชนะ บรรจุปิดสนิทและตักขาย ผลตรวจวิเคราะห์พบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์สูงมาก ถึง 316 ตัวอย่าง หรือร้อยละ 69.45 โดยแบบบรรจุภัณฑ์ปิดสนิท พบปนเปื้อน จุลินทรีย์มากที่สุดในน้ำใบบัวบกที่พบการปนเปื้อนสูงถึงร้อยละ 97.83 รองมา คือน้ำจับเลี้ยงร้อยละ 90 น้ำเสาวรสร้อยละ 87.88 น้ำบีทรูทร้อยละ 84.61 น้ำ เฉาก๊วยร้อยละ 67.35 น้ำสำรองร้อยละ 62.50 น้ำกระเจี๊ยบร้อยละ 55.36 และน้ำ เก๊กฮวยร้อยละ 54.69

ส่วนผลการตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อนในน้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพรชนิดตักขายพบ ว่าน้ำสำรองมีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ร้อยละ 100 รองลงมาคือน้ำใบบัว บกร้อยละ 85.71 น้ำเฉาก๊วยร้อยละ 78.51 น้ำเก๊กฮวยร้อยละ 71.05 น้ำ กระเจี๊ยบร้อยละ 50 และน้ำจับเลี้ยงร้อยละ 46.15 ส่วนน้ำเสาวรสจากตัวอย่าง ไม่พบการปนเปื้อนเลย โดยลักษณะการวางจำหน่ายที่มีใช้ถุงพลาสติกบรรจุน้ำแข็ง มัดปากถุงวางลงในโหลเพื่อรอตักขาย พบการปนเปื้อนถึงร้อยละ 77.41 ขณะที่น้ำ สมุนไพรที่วางจำหน่ายแบบไม่แช่เย็นจะพบการปนเปื้อนเพียงร้อยละ 45.41

นอกจากนี้การปนเปื้อนที่พบดังกล่าว ยังเกิดจากมือของผู้จำหน่ายร้อย ละ 65.22 รองมาเป็นภาชนะและอุปกรณ์ร้อยละ 31.25 สำหรับเชื้อจุลินทรีย์ปน เปื้อนที่พบ ได้แก่ ยีสต์, คอลิฟอร์ม, โมลด์, อีโคไล และสเตปฟิโลคอคคัส ออ เรียส บ่งบอกว่ามีการปนเปื้อนอุจจาระ และอาจก่อให้เกิดภาวะท้องร่วงได้
ทั้ง นี้ผลการสำรวจนี้ ชี้ว่าในการจำหน่ายน้ำผักผลไม้และน้ำสมุนไพร ควรมีการ พัฒนารูปแบบสำหรับการวางจำหน่ายเพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากเชื้อ จุลินทรีย์ โดย อย.จะทำการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

น.ส.ทิพย์วรรณ กล่าวต่อว่า จากผลการสำรวจดังกล่าว ชี้ชัดว่าผู้จำหน่ายส่วนใหญ่ขาดองค์ความ รู้ ทำให้เกิดการปนเปื้อน ซึ่งการทำน้ำผักผลไม้และเครื่องดื่มสมุนไพรดัง กล่าวส่วนใหญ่เป็นการขายตรงผลิตหน้าร้าน ไม่ต้องขออนุญาต แต่ยังต้องคงใน เรื่องความปลอดภัย โดยการปนเปื้อนที่พบชี้ว่า การผลิตยังขาด สุขลักษณะที่ดี เชื้อเหล่านั้นทำให้อาหารเน่าเสียง่าย และอาจก่อให้เกิด ปัญหาท้องเสีย แต่ไม่ก่อความรุนแรง เชื้อยีสต์ และโมลด์มาจากอากาศทั่ว ไป ส่วนคอลิฟอร์มชี้ว่าไม่ถูกสุขลักษณะ อย่างไรก็ตาม อย.กำลังดำเนินการ แก้ไขปัญหา ในปีหน้าจะมีโครงการพัฒนาการจำหน่ายและผลิตน้ำผักผลไม้และน้ำ สมุนไพร เพื่อให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยจะนำ ร่องในบางพื้นที่ของ กทม. ซึ่งจะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ พร้อมทั้งจัดทำคู่ มือเพื่อให้ผู้ผลิตปฏิบัติตาม ส่วนที่พบว่าน้ำใบบัวบกมีการปนเปื้อนมากที่ สุด เนื่องจากเป็นพืชที่อยู่ใต้น้ำ ผู้ผลิตล้างไม่สะอาดเพียงพอจึงเกิดปัญหา

ขอขอบคุณข่าวจาก

๒๘/๙/๕๑

“ ข้อคิดเพื่อครอบครัว ”

1. ข้อสำคั­ญของการเลือกคู่ คือเราไม่ได้เลือกใครเพราะเขาสมบูรณ์แบบ แต่เพราะเขามีจุดดีหลักๆ ที่เราประทับใจ ส่วนจุดอ่อนด้อยนั้นเป็นส่วนปลีกย่อยที่เรา สามารถยอมรับได้อย่างไม่ยากเย็น

2. ในความเป็นจริงไม่มีใครดีเลิศสมบูรณ์แบบ ถ้าเรามอง ไม่เห็นจุดอ่อนด้อยของเขาเลย นั่น แสดงว่าเรายังไม่รู้จักเขาอย่างแท้จริงหรือไม่ เราก็กำลังตกอยู่ในความหลงใหล . จนไม่ลืมหูลืมตา

3. การแต่งงาน คือ การผูกพันกันด้วยหัวใจ ไม่ใช่เพียงร่างกายและยิ่งไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เชิงธุรกิจ

4. คนที่แต่งงานเพราะความเหงา จะยิ่งเหงาหนักเป็น 2 เท่า แต่งงานแบบคลุมถุงชน ก็มีแนวโน้มว่า ชีวิตจะมืดมนไปอีกนาน

5. ความสุข ความทุกข์ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ชีวิตหลังแต่งงาน คิดให้ดีก่อนที่จะเลือกใคร มาเป็นคู่ชีวิต ...

6. บ้านจะเล็กหรือใหญ่ ไม่สำคัญ ­ แต่ " ความรัก " ต้องใหญ่ที่สุดในบ้าน

7. คำว่า " รัก " พูดมากไป ย่อมดีกว่า พูดน้อยไป ...

8. เมื่อเรา ทำผิด .... จง " ขอโทษ " เมื่อเขา ทำผิด .... จง " ให้อภัย "

9. ชีวิตแต่งงาน คือ ชีวิตแห่งการปรับตัว ถ้าไม่คิดจะปรับตัวเข้าหาใคร อยู่เป็นโสดไป ก็ดีกว่า ...

10. ยอมเป็นผู้แพ้ ดีกว่า เป็นผู้ชนะที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากชีวิตสมรสที่หักพัง ...

11. " แก้ตัว " .... ช่วยอะไรไม่ได้ " แก้ไข " ....... ช่วยได้ทุกอย่าง ...

12. เมื่อมีปั ­ ญหาในครอบครัว อย่าลืมใช้ความรักและหลักเหตุผลเป็นกรรมการตัดสิน ไม่ใช้ อารมณ์ หรืออาวุธ ..

13. งอนแต่พองาม ... ก็งามดี แต่งอนเกินพอดี ก็เกินงาม ...

14. ต่างคนต่างแข็ง ไม่มีใครยอมอ่อนข้อต่อกัน ... บ้าน ... ก็ คงไม่ต่างอะไรกับสนามรบ

15. เมื่อสามีอ่อนแอ ไม่รับบทบาทผู้นำ ความสับสนวุ่นวาย ก็ตามมา หรือเมื่อภรรยา พยายามแย่งบทบาทการนำจากสามี ชีวิตครอบครัวก็รอดยาก

16. ความไม่ซื่อสัตย์ ต่อกันเพียงครั้งเดียว ก็อาจสั่นคลอนความไว้วางใจที่มีให้กันได้ ท้ายที่สุด ชีวิตคู่ก็จบลงด้วยความแตกร้าวยากเยียวยา

17. ความเห็นแก่ตัว สนใจแต่ปัญ ­ หา อารมณ์ ความรู้สึก และความสนใจของตัวเองชีวิตคู่ ก็อยู่ด้วยกันยาก

18. ก่อหนี้สินจนล้นพ้นตัว ครอบครัวก็มีแต่ความตึงเครียดทุกเช้าเย็น

19. เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือทั้งสองฝ่ายเรียกร้องและคาดหวังจากกันและกันมากเกินพอดี ปัญ ­ หาก็จะมีเรื่อยไป … ไม่สิ้นสุด

20. ควรตระหนักว่า ... ภรรยา ไม่ใช่ผู้ปรนนิบัติรับใช้สามี แท้จริงแล้ว สามีภรรยา ควรเอาใจใส่ดูแลกันและกันอย่างดีที่สุด ... ย่อมดีกว่า

21. ไม่มีอะไร ทำให้ภรรยาปวดร้าวใจ มากเท่าการค้นพบว่า สามีมีหญิงอื่นในหัวใจ

22. รักเดียว ... ใจเดียว ไม่ใช่เรื่องเชย แต่เป็นเรื่องดีที่ สามีทุกคนในโลกควรกระทำ

23. การขอโทษภรรยาเมื่อทำผิด ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรี แต่เป็นศักดิ์ศรีของสามี ... ที่แท้จริง

24. ไม่ควรมองว่า งานดูแลบ้าน เป็นความรับผิดชอบของภรรยา สามีควรมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระอย่างสุดความสามารถเสมอ

25. สรีระรูปร่างหน้าตา ที่เปลี่ยนไปของภรรยา ไม่ควรเป็นเหตุให้ความรักในหัวใจของสามีจืดจางลงแม้แต่น้อย

26. ควรระลึกอยู่เสมอว่า ... การนำครอบครัวนั้น คือ การนำโดยเห็นผลประโยชน์ของครอบครัวเป็นหลักไม่ใช่ เพื่อความสุข ความพึงพอใจของตนเอง

27. ภรรยาที่ดี ควรสนับสนุนสามีให้ก้าวไกลในชีวิต ไม่ใช่ดึงรั้งให้หยุดอยู่กับที่ หรือถอยหลัง

28. ภรรยาที่ดี ไม่ควรใช้วิธีการบีบบังคับทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้สามีตัดสินใจตามความคิดของตน

29. ในสถานการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวาน สามีต้องการภรรยาที่สงบนิ่ง ช่วยกันคิดหาทางออก ไม่ใช่ภรรยาที่เอาแต่โวยวาย ตีโพย ตีพายหรือร้องไห้ฟูมฟาย โดยปล่อยให้เขาต้องแบกภาระหนักอึ้งเพียงลำพัง

30. การไม่ตีลูก เพราะกลัวลูกเจ็บ เมื่อยังเป็นเด็ก กลับจะ ทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อเขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างปั ­ ญหา และถูกลงโทษ . .. จากสังคม

31. ช่องว่างระหว่างวัย .. ระหว่างรุ่น ... ย่อมไม่มี ถ้าพ่อแม่ตระหนักถึงความสำคัญ ­ และใช้ความพยายามที่มากพอ วิธีที่ดีที่สุด คือ พ่อแม่ควรวางแผนเพื่อป้องกันปัญ ­ หาที่อาจเกิดกับลูก ไม่ใช่ตามแก้ปัญ ­ หาเมื่อเกิดขึ้นแล้ว

32. พึงตระหนักว่า ลูกไม่ใช่ดินน้ำมัน ที่พ่อแม่ อยากจะปั้นให้เขาเป็นอะไรก็ได้ตามใจชอบ เขาย่อมมีจิตใจที่มีเอกลักษณ์แห่งความชอบ ความสนใจที่แตกต่างไปจากพ่อแม่ได้เสมอ

ลองเลยวันนี้

ที่มา Forword Mail

ข่าวรณรงค์

ช่วยกันลดมลพิษคนละนิด ลดการใช้โฟมและถุงพลาสติก ปิดเครื่องไฟฟ้าหลังใช้งานทุกครั้ง

ความคิดเห็นล่าสุด